หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ใช้มาตรา 44 ออกคำสั่งเพิ่มความเข้มงวดในการบังคับใช้กฎหมาย และความปลอดภัยแก่ผู้ใช้รถใช้ถนน "ฟอร์มูลา" สรุปสาระสำคัญของมาตรการดังกล่าวมาให้เข้าใจกันง่ายๆ
การจอดรถในพื้นที่ห้ามจอด นอกจากฝ่าฝืนกฎหมายจราจรแล้ว ยังสร้างความเดือดร้อนให้ผู้ใช้รถใช้ถนนร่วมกัน เป็นเหตุให้รถติด เสี่ยงเกิดอุบัติเหตุ และไม่มีความเป็นระเบียบเรียบร้อย ซึ่งข้อกฎหมายใหม่นี้มีความเข้มงวดและจริงจังมากขึ้น เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถใช้เครื่องมือไม่ให้รถคันดังกล่าวไม่ให้รถเคลื่อนย้ายได้ อาจใช้วิธีการลอคล้อ หรือวิธีการอื่นที่ผู้บังคับบัญชาการตำรวจแห่งชาติกำหนด รวมถึงมีอำนาจเคลื่อนย้ายรถไปยังพื้นที่ที่ควบคุมดูแลใกล้เคียง เช่น สถานีตำรวจ
มาตรการดังกล่าว นับเป็นข้อดีที่ช่วยให้การจราจรมีระเบียบเรียบร้อยมากขึ้น สามารถเคลื่อนย้ายรถออกจากบริเวณดังกล่าว ที่อาจขัดขวางการเดินรถทำให้การจราจรติดขัดได้อย่างรวดเร็ว แต่ในส่วนเจ้าของรถหรือผู้ขับขี่หากกระทำผิดต้องเป็นผู้ชำระค่าใช้จ่าย ที่รถถูกเคลื่อนย้าย หรือใช้เครื่องมือไม่ให้รถเคลื่อนที่ (ลอคล้อ) ตลอดจนค่าดูแลรักษารถระหว่างที่อยู่ในความครอบครองของเจ้าพนักงาน อีกทั้งเจ้าพนักงานจราจร หรือผู้ที่ได้รับมอบหมาย ไม่ต้องรับผิดชอบความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการปฏิบัติงาน ยกเว้นความเสียหายที่เกิดจากความจงใจ หรือประมาท
สรุป ถ้าเราจอดรถขวางการจราจร ในที่ห้ามจอด เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถเคลื่อนย้ายรถ หรือลอคไม่ให้รถเคลื่อนที่ได้ทุกเมื่อ และเจ้าของรถต้องไปเสียค่าปรับ ค่ายกรถ รวมถึงค่าดูแลรักษาด้วย โดยทางเจ้าหน้าที่ตำรวจจะไม่รับความผิดชอบกับความเสียหายที่เกิดขึ้น เว้นแต่จงใจหรือประมาท
เป็นที่ถกเถียงกันมานาน สำหรับกรณีที่โดนใบสั่ง แล้วไม่ได้ชำระ จะต่อทะเบียน เสียภาษีประจำปีได้หรือไม่ วันนี้มีความชัดเจนขึ้นแล้ว หากใบสั่งออกให้หลังจากวันที่ 21 มีนาคม 2560 ต้องเสียค่าปรับให้ครบถ้วน ไม่เช่นนั้น จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย และงดออกป้ายการเสียภาษี
ขั้นตอนการออกใบแจ้งเตือน เมื่อผู้ขับขี่ได้รับใบสั่ง แล้วไม่ชำระค่าปรับหรือชำระไม่ครบถ้วน พนักงานเจ้าหน้าที่ตำแหน่งสารวัตรขึ้นไป จะออกหนังสือแจ้งการไม่ปฏิบัติตามใบสั่งไปให้ผู้ขับขี่ทราบไปก่อน ภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ครบกำหนดชำระค่าปรับตามที่ระบุในใบสั่ง และให้ผู้ขับขี่หรือเจ้าของรถชำระค่าปรับที่ค้างชำระ ภายใน 15 วัน นับตั้งแต่วันที่ได้รับแจ้ง
หากเจ้าของรถไม่ชำระค่าปรับภายใน 15 วัน พนักงานเจ้าหน้าที่จะแจ้งจำนวนค่าปรับที่ค้างชำระพร้อมหลักฐาน ไปยังนายทะเบียน ให้ตรวจสอบข้อมูลและแจ้งให้ผู้มาติดต่อชำระภาษีประจำปีสำหรับรถคันนั้น ทราบอีกครั้ง เพื่อไปชำระค่าปรับที่ค้างชำระภายใน 30 วัน นับตั้งแต่วันที่ได้รับแจ้ง
ถ้าเจ้าของรถยังไม่ชำระค่าปรับหรือชำระไม่ครบถ้วนภายใน 30 วันอีก พนักงานเจ้าหน้าที่จะแจ้งต่อนายทะเบียนให้งดการออกเครื่องหมายแสดงการเสียภาษีประจำปีสำหรับรถคันดังกล่าวและให้พนักงานสอบสวนดำเนินการตามหน้าที่ต่อไป
อย่างไรก็ตามหากผู้ขับขี่หรือเจ้าของรถ เห็นว่าตนไม่ได้กระทำผิดตามที่ถูกกล่าวหา สามารถทำหนังสือโต้แย้งข้อกล่าวหาได้ภายใน 15 วัน
สรุป ถ้าได้รับใบสั่งตั้งแต่วันที่ 21 มีนาคม 2560 ต้องจ่ายค่าปรับสถานเดียว และถ้าไม่จ่าย จะต่อภาษีไม่ได้ แต่ถ้าเห็นว่าได้รับใบสั่งไม่ถูกต้อง สามารถทำหนังสือโต้แย้งภายใน 15 วัน
มาตรการนี้ออกมาเพื่อความปลอดภัยสำหรับผู้ที่โดยสารรถตู้โดยเฉพาะ ให้ผู้โดยสารมีความคล่องตัวมากขึ้นในการเปิดประตูด้านข้างและด้านหลัง สามารถออกจากตัวรถได้อย่างรวดเร็ว ขณะเกิดอุบัติเหตุรุนแรง
โดยปกติแล้วรถตู้โดยสารที่ขับในพื้นที่ กทม. จะมี 15 ที่นั่ง และรถตู้ขับระหว่างจังหวัดมี 14 ที่นั่ง ตามมาตรการเดิมที่เคยระบุไว้ โดยมาตรการล่าสุดสั่งให้ผู้ประกอบการหรือเจ้าของรถต้องนำเบาะท้ายสุดของรถตู้ออกไป 1 ที่นั่ง รวมทั้งเบาะกลางระหว่างคนขับกับผู้โดยสารตอนหน้าอีก 1 ที่นั่ง รวมแล้ว 2 ที่นั่ง โดยมีผลบังคับใช้แล้วตั้งแต่วันที่ 21 มีนาคม 2560 ที่ผ่านมา แต่ยังอนุโลมให้ใช้รถได้ ต้องนำเบาะออกภายใน 60 วัน นับตั้งแต่วันที่ออกประกาศ โดยมีเสียงวิพากวิจารณ์จากผู้ประกอบการรถตู้จำนวนมาก ที่ได้กำไรน้อยลงต่อการวิ่งรถหนึ่งเที่ยว เพราะผู้โดยสารหายไป 1-2 คน
นอกจากนี้รถโดยสารสาธารณะต้องจัดทำสมุดประจำรถ (มีประวัติคนขับ พร้อมตรวจสอบสภาพรถและความพร้อมคนขับ) หากขับรถเร็ว ประมาท บรรทุกผู้โดยสารเกินจำนวนที่กฎหมายกำหนด ทิ้งผู้โดยสารกลางทาง เก็บค่าโดยสารเกินกำหนด ผู้ประกอบถูกระงับ หรือพักใช้ใบอนุญาตประกอบการขนส่งไม่เกิน 6 เดือน
สรุป รถตู้ทุกคันต้องปรับที่นั่งให้เหลือ 13 ตำแหน่ง โดยเอาเบาะแถวหลังสุดออก และเบาะด้านหน้ารถที่อยู่ติดกับคนขับออก อย่างละ 1 รวม 2 ที่นั่ง และต้องมีสมุดประจำรถ ถ้าบรรทุกเกิน ขับเร็ว ทิ้งผู้โดยสาร จะถูกระงับใบอนุญาตทันที บทความแนะนำ

