คำว่า ไทยแลนด์ 4.0 นี้ เราได้ยินกันมาพักใหญ่ๆ ตอนแรกๆ ก็งงๆ ว่าหมายถึงอะไร มาพักนี้ถึงค่อยเข้าใจจากข้อความหลายข้อความที่พยายามจะอธิบายกันเช่นว่าการทำให้ประเทศหลุดพ้นจากกับดักรายได้ปานกลาง ไปสู่รายได้ระดับสูง หรือการใช้ดิจิทอลมาผลักดันการเติบโตทางอุตสาหกรรมอื่นๆ ยังไม่สายเกินไปที่พูดถึงไทยแลนด์ 4.0 ในวันนี้ ยังไม่สายเกินไปที่เราจะแปลงทุกสิ่งทุกอย่างให้เป็นดิจิทอล ดิจิทอลทำให้ชีวิตเราดีขึ้น ทำให้เรามีรายได้มากขึ้น และสูญเสียน้อยลง รัฐบาลเร่งจัดตั้งกระทรวงดิจิทอล ล่าสุดมีการจัดตั้งดิจิทอลพาร์คที่ศรีราชา รัฐบาลลงทุนมหาศาลในวันนี้เพื่อผลักดันให้คนไทยใช้ดิจิทอล คำว่า IOT หรือ INTERNET OF THINGS ก็เป็นที่เข้าใจกันมากขึ้น หมายถึงก็เป็นที่เข้าใจกันมากขึ้น หมายถึงทุกอย่างเชื่อมโยงกัน จะกลับบ้านก็ตั้งพโรแกรมเปิดประตูบ้าน และเปิดแอร์ไว้คอยท่า เป็นต้น ทุกอย่างเป็นดิจิทอลแล้วดีอย่างไร ลองมาดูตัวอย่างประเทศเล็กๆ อย่างเอสโตเนีย ที่เมื่อเร็วๆ นี้เรียกเสียงฮือฮาได้จากการบรรยายของแอนนา พิเพอรัล ที่มาพูดที่ กสทช. ถึงความเป็นดิจิทอลของประเทศเล็กๆ แห่งนี้ ประเทศนี้มีการยื่นภาษีออนไลน์ถึง 98 % เพราะว่ามันง่ายมาก แค่กด NEXT NEXT NEXT 3 ทีก็เสร็จ เพราะเอกสารต่างๆมันเชื่อมโยงถึงกัน ดีไหมละคะ ที่สหรัฐอเมริกายังต้องมานั่งกรอกเอกสารกางเต็มโต๊ะอยู่เลย เวลาคลอดลูก ก็ไม่ต้องเสียเวลาไปแจ้งเกิด แต่ละโรงพยาบาลจะส่งข้อมูลไปยังหน่วยราชการทันที และลูกก็จะมีหมายเลขประจำตัวทันที มันสามารถคำนวณสิทธิค่ารักษาพยาบาล รวมถึงค่าลดหย่อนของผู้หญิงคนนี้ได้ทันที ระบบโรงพยาบาลดิจิทอลทำให้มีความแออัดยัดเยียดในโรงพยาบาลลดลง 3 เท่า จากที่คนไข้เคยต้องต่อคิวรับใบสั่งยา แต่ตอนนี้สามารถทำผ่านทางอินตอร์เนตได้แล้ว ระบบ INTERNET OF THINGS ยังทำให้สามารถจ่ายค่าที่จอดรถและค่ารถสาธารณะได้ด้วยมือถืออีกด้วย เจ้ามือถือนี่จะกลายเป็นปัจจัยที่ 5 ของคนอย่างไม่ต้องสงสัย ที่เด็ดไปกว่านั้น ไหนๆ จะเป็นดิจิทอลกันแล้ว ก็เป็นดิจิทอลให้ตลอด เอสโตเนียเปิดให้คนทั่วโลกสมัครเป็น “พลเมืองดิจิทอล” ซึ่งไม่ได้หมายความว่าเปลี่ยนสัญชาตินะคะ แต่หมายถึงว่าจะสามารถทำธุรกรรมออนไลน์ได้ และทำธุรกรรมกับภาครัฐเช่นการลงทุนได้ ฟังดูแล้วมีแรงจูงใจมากจริงๆ เมือทุกอย่างเป็นดิจิทอล มันก็จะรวดเร็ว แม่นยำ โปร่งใส ไทยแลนด์ 4.0 ยังต้องคู่กับสมาร์ท ซิทีด้วย คิดง่ายๆ ในไม่อีกกี่ปีข้างหน้าประชาชนจะย้ายเข้ามาอยู่ในเมืองกันเป็นจำนวนมาก เมืองต้องรับมือ และต้องแก้ปัญหาหลายๆ อย่างไม่เฉพาะปัญหารถติด ความหมายของ สมาร์ท ซิที คือ การจัดการเมืองให้ใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ ระบบสาธารณูปโภคต่างๆ มีการเชื่อมต่อถึงกัน เราเคยได้ยินกันมาพักใหญ่แล้วเรื่องมีบัตรใบเดียวใช้ขึ้นรถลงเรือได้ทุกอย่าง การคมนาคมทุกอย่างเชื่อมต่อถึงกันหมดในแนวราบ เช่นเดียวกับระบบน้ำประปา ไฟฟ้า การกำจัดของเสีย สิ่งแวดล้อม การพยากรณ์อากาศ และที่สำคัญระบบรักษาความปลอดภัย นั่นหมายความว่าต้องมีศูนย์ข้อมูลกลาง และระบบควบคุมกลาง ซึ่งถ้าทำสำเร็จก็จะก่อเกิดความเจริญรุ่งเรือง ในขณะเดียวกันก็สามารถลดค่าใช้จ่าย และทำให้เกิดภาคบริการที่ค่าใช้จ่ายต่ำ แต่สะดวกสบาย เป็นเรื่องไม่ง่ายที่จะรื้อระบบเดิมของเมืองแบบกรุงเทพฯ ซึ่งแม้รัฐบาลจะมีวิสัยทัศน์แล้ว ก็ยังต้องการความร่วมมือจากเอกชนมาดำเนินการ ขอปิดเรื่องนี้ด้วยประสบการณ์ผู้เขียนสดๆ ร้อนๆ เมื่อวานเดินทางจากบ้านแถวสะพานควายไปยัง โรงพยาบาลกรุงเทพที่ถนนเพขรบุรี ไม่เคยรู้เลยว่าสามารถไปตามถนนที่ลอดใต้ทางด่วนดินแดงไปโผล่พระราม 9 ยูเทิร์นเข้าอาร์ซีเอ และเข้าโรงพยาบาลกรุงเทพด้านข้างได้โดยไม่ต้องผ่านถนนเพชรบุรี เมื่อจะอยู่ในเมือง ก็ต้องอยู่อย่างสมาร์ท ไม่เช่นนั้นเมืองก็คงไม่น่าอยู่