ถ้าต้องการรักษาแบทเตอรีให้มีประจุไฟฟ้าเหลือพอสตาร์ทเครื่องยนต์ ถ้าเป็นยุคก่อน ต้องสตาร์ทเครื่องยนต์ทิ้งไว้ประมาณ 30 นาที อย่างน้อยที่สุดเดือนละครั้ง เพื่อให้ไดชาร์จประจุไฟฟ้าเข้าแบทเตอรี แต่ยุคนี้แค่มี BATTERY CHARGEAR เพียงหนีบที่ขั้ว แล้วเสียบปลั๊กทิ้งไว้ก็พอแล้วเขาว่า... : ใช้รถน้อย จอดนาน ควรมี BATTERY CHARGER ติดโรงจอดรถไว้…จริงไหม ? จริง : เพราะนอกจากชาร์จไฟให้รถที่จอดนานแล้ว ยังสามารถฟื้นฟูสภาพแบทเตอรี สำหรับรถที่ใช้งานทุกวันอีกด้วย ใครที่มีรถแล้วไม่ค่อยได้ใช้คงเข้าใจดี ว่าหากจอดทิ้งไว้นานๆ แล้วต้องการสตาร์ทเครื่องยนต์ จะรู้สึกเหมือนแรงสตาร์ทจากแบทเตอรีไม่พอ ทั้งๆ ที่เพิ่งเปลี่ยนแบทเตอรีมาไม่ถึงปี ที่เป็นเช่นนี้ เพราะกระแสไฟในรถของเรา มีโอกาสรั่วไหลได้ในบางตำแหน่ง และถึงแม้ไม่มีตำแหน่งไหนรั่ว แต่ถ้าไม่ได้รับการประจุไฟฟ้าจากอัลเทอร์เนเตอร์ หรือไดชาร์จเข้าแบทเตอรี ประจุไฟฟ้าก็จะลดลงวันละเกือบ 1 % อยู่แล้ว (อุณหภูมิภายนอกไม่เกิน 30 องศาเซลเซียส) แต่ไม่ได้หมายความว่า หมดเกลี้ยงภายใน 100 วันนะครับ หมายถึง ความจุในวันรุ่งขึ้นก็จะลดลงไปเรื่อยๆ ในแต่ละวัน ดังนั้น ถ้าต้องการรักษาแบทเตอรีที่ไม่ได้ใช้เป็นเวลานาน (เกิน 1 เดือน) ให้ยังมีประจุไฟฟ้าในแบทเตอรีเหลืออยู่ อย่าปล่อยแบทเตอรีทิ้งไว้ โดยขั้วทั้ง 2 (บวก และลบ) ต่ออยู่กับสายไฟของรถ ต้องปลดสายไฟออกจากขั้วทั้ง 2 แล้วเช็ดส่วนบนของแบทเตอรี รวมทั้งโคนขั้วให้สะอาด เพื่อป้องกันกระแสไฟรั่วผ่านความชื้นของเปลือกแบทเตอรี และควรสตาร์ทเครื่องยนต์ โดยปล่อยรอบเดินเบาไว้ประมาณ 30 นาที อย่างน้อยที่สุดเดือนละครั้ง เพื่อให้ไดชาร์จ หรืออัลเทอร์เนเตอร์ ประจุไฟฟ้าเข้าแบทเตอรี แต่สมัยนี้มีวิธีที่ดีกว่า คือ ไปหาซื้อ BATTERY CHARGER มาอัดไฟโดยที่ไม่ต้องติดเครื่อง BATTERY CHARGER จะชาร์จไฟเข้าแบทเตอรี และคายประจุไฟฟ้าออกโดยอัตโนมัติ (เสมือนรถกำลังใช้งานอยู่) โดยมีคุณสมบัติสลายซัลเฟทที่จับแน่นที่แผ่นตะกั่ว และฟื้นฟูสภาพแบทเตอรี สำหรับรถแบทเตอรีเต็มอีกด้วย