โลกรถยนต์ กำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านใหญ่ๆ 2 เรื่อง เรื่องแรก คือ เปลี่ยนจากเครื่องยนต์สันดาปภายใน สู่พลังไฟฟ้า เรื่องที่ 2 เปลี่ยนจากการควบคุมโดยมนุษย์ เป็นการควบคุมด้วยระบบ AIเรื่องแรก นับว่ามาไกลพอสมควรแล้ว จนทุกฝ่ายเห็นภาพเดียวกันชัดเจน ขณะที่เรื่องที่ 2 เพิ่งเริ่มต้น และไม่สามารถเร่งสปีดได้เหมือนวัคซีน COVID-19 ฉะนั้น จึงไม่แปลก ที่ในระหว่างนี้จะเกิดความไม่เข้าใจ และความหวาดระแวงขึ้น ไม่ว่าจะในหมู่ผู้ผลิต ผู้ใช้ จนถึงระดับรัฐบาล โดยเฉพาะรัฐบาลของประเทศมหาอำนาจที่ให้ความสำคัญเรื่องข้อมูลข่าวสารเป็นพิเศษ ปรากฏการณ์ที่ยืนยันว่า อุปสรรคของการแจ้งเกิดรถขับเคลื่อนอัตโนมัติ ไม่ใช่แค่การพัฒนาเทคโนโลยีเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการพัฒนาความเข้าใจ และความไว้วางใจในเทคโนโลยีด้วย ก็คือ การที่รัฐบาลจีนห้ามเจ้าหน้าที่ทหาร และพนักงานรัฐวิสาหกิจ ใช้รถ TESLA (เทสลา) เพราะกลัวว่า ระบบเซนเซอร์ และกล้องอัจฉริยะ ภายในรถจะไปป่วนระบบรักษาความปลอดภัยข้อมูลที่เป็นความลับ หรือบันทึกภาพสถานที่สำคัญ ส่งไปยังรัฐบาลสหรัฐฯ เนื่องจากจีนเป็นตลาดใหญ่สำหรับ TESLA โดยมียอดขายถึงกว่า 145,000 คันในปีที่แล้ว หรือราว 30 % ของยอดขายรวมทั่วโลก และเป็นคู่แข่งที่น่าจับตามองของผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าสัญชาติจีนอื่นๆ ELON MUSK (เอลอน มัสค์) CEO…เอ๊ย...TECHNOKING ของ TESLA เลยต้องรีบออกมายืนยันว่า ไม่ได้หาทำเรื่องดังกล่าว และหาก TESLA ใช้รถยนต์เพื่อสอดแนมในจีนจริง คงต้องถูกปิดกิจการทันที MUSK เปรียบความกลัวการโจรกรรมของ TESLA ในจีนว่า ไม่ต่างกับที่ประธานาธิบดี DONALD TRUMP (โดนัลด์ ทรัมพ์) กลัว TIKTOK ของจีนจะเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงของสหรัฐฯ สรุปแล้ว เหล่าประเทศมหาอำนาจต่างหวาดระแวงเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่แฝงมากับรถอัตโนมัติ สมาร์ทโฟน รวมถึงนวัตกรรมอื่นๆ พร้อมสกัดดาวรุ่งทุกวิถีทาง เพื่อช่วงชิงตำแหน่งผู้นำโลกในทศวรรษหน้า ยุคเปลี่ยนผ่านจึงเป็นช่วงเวลาน่ากลัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนที่เสียผลประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลง ถ้าไม่เชื่อ ถามลุงดูสิ !