รอบรู้เรื่องรถ
เลิกใช้ยาง “รันฟแลท” ได้หรือไม่ ? (ตอนจบ)
ในฉบับที่แล้วเนื้อที่ไม่พอ ก่อนที่จะเริ่มเรื่องใหม่ ผมขอใช้เนื้อที่ช่วงต้นนี้ให้ต่อเนื่องเลยนะครับ อย่างที่ได้เกริ่นไว้แล้ว ว่าความเดือดร้อนทั้งกายและใจ รวมทั้งความเหน็ดเหนื่อยทางกายภาพจริงๆ รวมทั้งการสูญเสียเวลา และโอกาสดีต่างๆ ในชีวิตประจำวัน จากการที่ยางล้อรถของเรา “แบน” หรือลมรั่วกลางทางนั้น ไม่ใช่แค่เล็กน้อยและเมื่อความก้าวหน้าทางเทคนิค มันเอื้อต่อการกำจัดความเดือดร้อนนี้ให้หมดสิ้นไป ผู้ผลิตรถส่วนใหญ่จึงไม่รีรอ ที่จะมอบความสะดวกนี้ให้แก่ลูกค้า เพราะสุดท้ายแล้ว ก็คือการสร้างความประทับใจเมื่อเกิดสถานการณ์ไม่พึงประสงค์นี้ขึ้นจริงๆ และผลดีบั้นปลายท้ายสุด ก็จะเป็นการช่วยให้ยอดจำหน่ายรถบแรนด์นั้นๆ เพิ่มขึ้นนั่นเอง น่าเสียดายที่ยางประเภทนี้ ยังคงถูกใช้กับรถระดับราคาตั้งแต่ค่อนข้างสูงขึ้นไปเท่านั้น เพราะเมื่อมีคุณสมบัติพิเศษ ต้นทุนผลิต และราคาที่จำหน่าย จึงย่อมพิเศษตามไปด้วย ผมขอแบ่งกลุ่มเจ้าของรถ ที่มียางรันฟแลทมาพร้อมจากโรงงานผู้ผลิต ตามความเห็นที่มีต่อยางประเภทนี้ แบบคร่าวๆ และไม่เป็นทางการดังนี้ กลุ่มแรก ไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น ด้วยความเชื่อมั่นว่า ถ้ามันไม่ดีจริง ไม่จำเป็น หรือไม่เหมาะสม ผู้ผลิตรถระดับ(ราคา)นี้ คงไม่ใส่มาให้ลูกค้าใช้ ให้ราคารถมันสูงขึ้นไปอีกหรอก เมื่อยางชุดแรกหมดอายุ หรือหมดสภาพ เจ้าของรถในกลุ่มนี้ จะเลือกซื้อยางประเภทเดิมมาเปลี่ยน โดยไม่คิดจะใช้ยาง “ธรรมดา” แทน ทั้งๆ ที่ราคาถูกกว่า รายที่พิถีพิถันเรื่องค่าใช้จ่าย อาจจะไม่ได้สั่งให้ศูนย์บริการจัดการให้ แต่เลือกใช้บริการของร้านขายยางแทน เพราะราคามักจะต่ำกว่าอยู่พอสมควร แค่ระวัง และเจาะจงให้ได้ยางที่ผู้ผลิตรถกำหนดให้ใช้เท่านั้น ผมเห็นด้วยครับ ถ้ามีคะแนนให้สำหรับวิธีคิดและตัดสินใจ ผมให้เต็ม หรือเกือบเต็มได้เลยครับ สำหรับความฉลาด และความมีเหตุผล เอาเวลาที่จะวุ่นวายเสียไปกับการเลือกยาง ไปหารายได้เพิ่ม หรือทำสิ่งที่มีคุณค่าแก่ชีวิตเราดีกว่า กลุ่มที่ 2 พวกรักการประหยัด เห็นราคายางรันฟแลท สูงกว่ายางทั่วไปที่คุ้นเคยแล้ว ไม่ว่าจะเพิ่งใช้ยางแบบนี้เป็นคันแรกหรือไม่ก็ตาม เกิดความเสียดายจน “จ่ายไม่ลง” ขึ้นมาทันที และยิ่งบางคนเคยได้ยินว่ายางแบบนี้มัน “กระด้างกว่า” ทั้งๆ ที่ตัวเองก็แยกแยะความแตกต่างไม่ได้ แต่ก็ขอเอามาเป็นข้ออ้าง เพื่อกลบความขี้เหนียวไว้ กลุ่มที่ 3 ไม่ได้เพ่งเล็งเรื่องเงินเป็นหลัก แต่สนใจด้านเทคนิค ได้ฟังหรือได้อ่านมา ว่ายางประเภทนี้มันทำให้รถสะเทือน หรือ “กระด้าง” กว่ายางแบบดั้งเดิมทั่วไป ถ้าจะแบ่งเป็น 2 กลุ่มย่อย ก็น่าจะเป็นดังนี้ กลุ่ม 3.1 เป็นพวกที่ไม่ได้รู้สึกเองหรอกครับ เพราะแยกแยะความแตกต่างของช่วงล่างไม่ค่อยออกอยู่แล้ว ซึ่งไม่ถือว่าเป็นความบกพร่องแต่อย่างใดเลยนะครับ เปรียบเสมือนคนที่ชอบฟังเพลงอย่างมาก แต่ถ้าลองถามว่า เสียงต่างๆ ในเพลงนั้น มาจากเครื่องดนตรีชนิดไหน อาจจะตอบได้เพียงไม่กี่อย่างเท่านั้น ซึ่งไม่ถือว่าผิดปกติ หรือเป็นความด้อยความรู้นะครับ ได้ยินเขาว่ากันว่ามันสะเทือนกว่า ก็เชื่อเลย หรือไม่ก็เกิดจากอุปาทาน จนทึกทักว่ามันเป็นเช่นนั้นจริง กลุ่ม 3.2 เป็นพวกที่ค่อนข้างละเอียด หรือประสาทสัมผัสดีเป็นพิเศษ รู้สึกได้ว่ามันมีความกระด้างของช่วงล่าง ที่ใช้ยางรันฟแลทอยู่บ้างจริงๆ ด้วย เพียงแต่ว่า (ถึงตอนนี้ค่อยๆ อ่านช้าๆ และคิดตามอย่างละเอียดหน่อยนะครับ) ที่จริงแล้วก็ไม่รู้หรอก ว่ากระด้างกว่าหรือไม่ เพราะตั้งแต่ซื้อมาก็ใช้แต่แบบรันฟแลทเท่านั้น ไม่ได้มีโอกาสลองเปลี่ยน และเทียบกับตอนใช้ยางแบบดั้งเดิมเลย แต่บางรายก็อาจจะมีโอกาสเทียบกับรถของคนอื่น หรือไม่ก็พอสังเกต และจินตนาการได้ จากความเป็นคนที่มีประสาทสัมผัสดี และยังมากด้วยประสบการณ์ที่เกี่ยวกับรถ แต่ถึงจะรู้สึกได้ว่ายางประเภทนี้มันกระด้างกว่า หรือทำให้รถสะเทือนกว่าจริง ก็ยังเป็นแค่ความรู้สึกนะครับ ยังไม่ใช่ความจริงแต่อย่างใด ผมขอเฉลยล่วงหน้าไว้ก่อนเลย ว่าเกือบทุกกรณี ยางนี้ไม่ได้ทำให้รถของเราสะเทือนเพิ่มขึ้น ก่อนที่จะเปรียบเทียบความสะเทือนจากการใช้ยางทั้ง 2 แบบ เราต้องรู้ก่อนว่า คุณสมบัติด้านนี้ของรถนั้น มันคืออะไร และเขาวัดกันด้วยวิธีไหน ความสะเทือนของรถ จากผิวถนนที่ขรุขระ และส่งผ่านยาง ล้อ ช่วงล่าง (คือสปริง และแดมเพอร์) เก้าอี้ จนมาถึงร่างกายเรานั้น เรารับรู้ และนิยามว่า มันคือการเคลื่อนที่ของลำตัว ตั้งแต่สะโพกขึ้นมาจนถึงหัวของเรา และเรานับเฉพาะการเคลื่อนที่ในแนวดิ่งเท่านั้น ส่วนแนวนอนที่เกิดจากการเลี้ยวโค้ง เบรค และเร่งนั้น ไม่เกี่ยว ความสั่นสะเทือนในทางวิชาการ เป็นเรื่องที่ซับซ้อนมากครับ หลายอย่างไม่มีคำพูดที่จะใช้อธิบายได้ นอกจากสมการทางคณิตศาสตร์เท่านั้น ค่าที่สำคัญ นอกจากความถี่ หรือจำนวนครั้งที่ลำตัวของเราเคลื่อนที่ขึ้นลง ก็คือความเร่ง และความหน่วง ซึ่งก็คืออัตราการเปลี่ยนความเร็ว ไม่ว่าจะเพิ่ม หรือลด ประเภทเดียวกับ “แรงจี” ทีเรียกกันติดปาก สำหรับบอกความแรงของการเร่ง และเบรค กับแรงเหวี่ยงตอนเข้าโค้ง กับอีกค่าหนึ่งที่สำคัญมาก คือ ระยะที่ลำตัวของเราเคลื่อนที่ขึ้นลง หรือ AMPLITUDE (แอมพลิจูด) ซึ่งผมหาคำแปลภาษาไทยที่เหมาะไม่ได้ คราวนี้เรามาหาดูสาเหตุที่ยางรันฟแลทถูกปรักปรำ ว่าทำให้รถสะเทือนหรือกระด้างมากขึ้นกันครับ และเกือบทุกคน (ในกลุ่ม 3.2) ก็ไม่ได้เดาเอา โมเม หรือคิดไปเอง แค่หลงประเด็นจนคลาดเคลื่อนไปหน่อยเท่านั้นเอง เพราะไม่เข้าใจนิยามของความสะเทือน แทนที่จะเพ่งไปที่การเคลื่อนที่แนวดิ่งของลำตัว และหัว ซึ่งเป็น “มาตรวัด” ความสะเทือนที่แท้จริง กลับเพ่งไปไกลถึงความสะท้านที่ล้อ ชิ้นส่วนของช่วงล่าง แกนพวงมาลัย วงพวงมาลัย แผงหน้าปัด แผงประตู ซึ่งแน่นอนครับ มีโอกาสสูงมากที่ชิ้นส่วนที่กล่าวมานี้ จะสะท้านเมื่อใช้ยางรันแฟลท มากกว่าเมื่อใช้ยาง “ธรรมดา” ซึ่งมันเป็นเรื่องทางวิศวกรรมที่เลี่ยงไม่ได้ เราไม่มีสิทธิที่จะ “นับ” ว่ามันเป็นความสะเทือน (ถ้าจะเรียกว่า ความสะเทือนเทียม ก็พอได้ครับ) เพราะไม่ได้มีผลต่อการเคลื่อนที่แนวดิ่งของลำตัวของเรา หรือความสะเทือนแท้ ซึ่งเป็นตัวบ่งชี้ความนุ่มนวล หรือความกระด้างของระบบรองรับ แม้แต่นักทดสอบรถส่วนใหญ่ในต่างประเทศ ก็ยังหลงประเด็นกันในเรื่องนี้ ต่อไปนี้ถ้าจะประเมินความสะเทือนของรถใด ผมขอให้เพ่งเฉพาะความสะเทือนแท้เท่านั้นนะครับ ไม่ต้องใช้ความสามารถพิเศษ ลงลึกอย่างละเอียด ไปถึงอาการสะท้านของชิ้นส่วนอื่นไกลทั้งหลายที่ว่ามา มิฉะนั้นการประเมิน และตัดสินคุณภาพของรถจะผิดเพี้ยนไปหมด ขอยกตัวอย่างเปรียบเทียบเพื่อให้เข้าใจง่ายขึ้นว่า ถ้าเราจำเป็นต้องให้ใครยืมเงิน ความประสงค์แท้จริงของเรา คือ การได้เงินคืนมา เพราะฉะนั้นเมื่อลูกหนี้นำเงินมาคืน ความรู้สึกอย่างเดียวที่เราควรมี คือ ดีใจเท่านั้นเองครับ ไม่ต้องไปลงลึกแคะไค้ต่อ ว่าเขาเอาเงินมาจากไหน ได้เงินมาโดยชอบธรรมหรือเปล่า ต้องไปทำให้คนอื่นลำบากหรือไม่ ถ้าใครคิดอย่างนี้ก็หลงประเด็นแล้วครับ สรุปแล้วถ้านั่งแล้วรู้สึกสบาย และพอใจ ก็ถือว่ารถนั้น (หรือยางแบบนั้น) ให้ความนุ่มนวลพอสำหรับเราแล้ว และนี่คือคำตอบที่ผมเกริ่นเฉลยไว้ล่วงหน้า ว่ายางรันฟแลทของรถเกือบทุกรุ่น ไม่ได้ทำให้ความสะเทือนเพิ่มขึ้น เทียบกับเมื่อใช้ยางธรรมดา หรือจะกล่าวในมุมกลับก็ได้ ว่าการเปลี่ยนยางของรถที่ใช้ยางรันฟแลทจากโรงงาน มาเป็นแบบ “ธรรมดา” ไม่ได้ช่วยให้ความสะเทือนลดลง หรือความสบายเพิ่มขึ้นแต่อย่างใด แต่ในเมื่อผมได้ยอมรับก่อนหน้านี้ ว่ายางรันฟแลททำให้ชิ้นส่วนต่างๆ ตั้งแต่ล้อ ช่วงล่างทุกชิ้น สปริง แดมเพอร์ คันส่ง แกน และวงพวงมาลัย โครงรถ ฯลฯ มันสะเทือนสะท้านเพิ่มขึ้น แล้วทำไมความสะเทือนที่ลำตัวคนขับ และคนนั่ง จึงไม่สะเทือนเพิ่มขึ้นตามไปด้วย เป็นเพราะฝีมือชั้นยอดในการปรับแดมเพอร์ของบรรดาวิศวกรครับ ทั้งในแผนกระบบรองรับของบริษัทที่ผลิตรถ และที่ทำงานอยู่ในบริษัทผลิตแดมเพอร์คู่สัญญา กับในฝ่ายพัฒนาเก้าอี้ของรถ ซึ่งตามหลักกลศาสตร์แล้ว ส่วนที่เรานั่งทับก็ทำหน้าที่เป็นสปริง และแดมเพอร์เช่นเดียวกัน อยู่เหนือ และทำงานร่วมกับสปริง และแดมเพอร์ของระบบรองรับ ซ้อนกันอยู่ในแบบเรียงแถว หรือแบบอนุกรม (ที่จริงแล้ว ตั้งแต่หน้ายางที่กดผิวถนน จนถึงกระดูกสันหลังของเรา มีชุด “สปริง-แดมเพอร์” คั่นอยู่ราวๆ สิบชุดเลยนะครับ เช่น แกสในยางล้อ ยางรองที่ปลายสปริงทั้งบน และล่าง โครงรถที่โก่งงอได้ ฯลฯ ) สำหรับพวกเราผู้ใช้ รวบรัดให้เหลือ 2 ชุดที่ว่านี้ก็พอแล้ว และทั้ง 2 ชุดที่ว่านี้ ก็ถูกปรับปรุงความแข็งความหนืดกันมาเกินสิบปีแล้ว เพื่อให้เหมาะเจาะ(MATCHING) กับความแข็งของยางรันฟแลท ยิ่งอ่านยิ่งมึนใช่ไหมครับ ผู้อ่านบางท่านคงอยากบอกว่า ขอแบบง่ายกว่านี้ แค่ไม่กี่บรรทัด รู้เรื่อง เชื่อถือ และเอาอย่างได้เลยอย่างมั่นใจน่ะ มีไหม มีครับ โรงงานที่มีชื่อเสียงว่าผลิตรถหรู ช่วงล่างนุ่ม เงียบ สบายที่สุดในโลก ชื่อย่อแค่พยัญชนะซ้ำกันสองตัว (ยุคนี้มีคู่แข่งฝีมือพอๆ กันอีกหลายราย ขอไม่เอ่ยชื่อนะครับ เพราะจะไม่ยุติธรรม ถ้าไม่ครบถ้วน) ใช้ยางรันฟแลทกับรถทุกรุ่นมานับสิบปีแล้ว และไม่เคยมีความคิดที่จะเลิกใช้ เพราะไม่มี “เศรษฐีใหญ่” ที่ไหนในโลก ที่จะยอมเสียหน้า และเสี่ยงตาย ลงมาเปลี่ยนหรือดูใครก็ตามเปลี่ยนล้อรถตนข้างถนน และช่วงล่างของรถรุ่นล่าสุดของบแรนด์นี้ ก็เงียบ และนุ่มนวลอย่างไม่มีที่ติเลย และไม่เคยมีข่าวว่า มีเศรษฐีเจ้าของรถบแรนด์นี้คนไหนในโลก (อาจจะต้องยกเว้นคนไทยไว้) ที่อุตริเปลี่ยนไปใช้ยางแบบธรรมดาแทน บทสรุปของเรื่องนี้ คือ ไม่มีเหตุผลใดทั้งสิ้นครับ ที่สนับสนุนการเปลี่ยนมาใช้ยางธรรมดาแทนยางรันฟแลท ใครที่ยังฝืนทำเพื่อลดค่าใช้จ่าย ผมแนะนำให้เอาค่าเสื่อมสภาพ (หรือที่เรียกกันว่า “ราคาตก”) ของรถที่ใช้อยู่ ใน 1 ปี หารด้วย 12 แล้วดูว่าเงินของเรา “สูญหาย” ไปเดือนละเท่าไร เมื่อเทียบกับเงินที่ประหยัดได้ จากการซื้อยางธรรมดามาใช้แทนแบบรันฟแลทแล้ว คุ้มไหม
เรื่องโดย : เจษฎา ตัณฑเศรษฐี
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน สิงหาคม ปี 2564
คอลัมน์ Online : รอบรู้เรื่องรถ
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/377693