รายงานข่าวจากสภาอุตสาหกรรม ยืนยันว่า ในครึ่งปีหลังของ 2564 นี้ การส่งออกจากอุตสาหกรรมยานยนต์มีแววว่าจะฟื้นตัว เพราะมีปัจจัยสนับสนุน ทั้งสภาพเศรษฐกิจ และสถานการณ์ปัจจุบันวิธีคิดของสภาอุตสาหกรรม ก็โดยการแบ่งกลุ่มอุตสาหกรรมออกเป็น 4 หมวด ได้แก่ อุตสาหกรรมที่ฟื้นตัวตามตลาดโลก, อุตสาหกรรมที่โดดเด่นต่อเนื่องจากทเรนด์สุขภาพ, อุตสาหกรรมที่เติบโตในช่วง WORK FROM HOME และอุตสาหกรรมที่มีทิศทางเติบโตตามสถานการณ์ COVID-19 ที่เริ่มคลี่คลาย อุตสาหกรรมที่ฟื้นตัวตามตลาดโลก ได้แก่ อุตสาหกรรมยานยนต์ และอุตสาหกรรมอาหาร กลุ่มนี้จะฟื้นตัวตามภาวะเศรษฐกิจโลกที่เริ่มดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจได้มากขึ้น ตามการฉีดวัคซีนที่ครอบคลุมจำนวนประชากร โดยกลุ่มอาหารได้รับแรงหนุนจากราคาสินค้าเกษตร ที่มีทิศทางที่ดีขึ้น และการมีมาตรการป้องกันการปนเปื้อนเชื้อ COVID-19 ในวัตถุดิบ และผลิตภัณฑ์อาหารสำเร็จรูป ด้านอุตสาหกรรมยานยนต์ ค่ายรถยนต์ญี่ปุ่นปรับแผนใช้ไทยเป็นฐานการผลิตเพื่อส่งออกมากขึ้น ด้านปัจจัยเสี่ยงของกลุ่มนี้ ได้แก่ การขาดแคลนชิพเซมิคอนดัคเตอร์ในอุตสาหกรรมยานยนต์ ต้นทุนค่าขนส่งทางเรือเพิ่มสูงขึ้น ส่วนอุตสาหกรรมอาหารเผชิญกับการขาดแคลนวัตถุดิบของโรงงานแปรรูปอาหาร ด้านอุตสาหกรรมทเรนด์สุขภาพ นโยบายที่สนับสนุนให้ไทยเป็น MEDICAL HUB จะช่วยเสริมทิศทางการเติบโตของกลุ่มเหล่านี้ อุตสาหกรรมที่เติบโตในช่วง WORK FROM HOME เนื่องเพราะทำให้ผู้คนต้องการสิ่งอำนวยความสะดวกภายในบ้านมากขึ้น โดยเฉพาะเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน อุตสาหกรรมที่มีทิศทางเติบโตตามสถานการณ์ COVID-19 ที่เริ่มคลี่คลาย ปัจจัยสนับสนุนจากการส่งออกของไทยที่มีทิศทางดีขี้น สะท้อนจากดัชนีฯ คำสั่งซื้อ และยอดขายต่างประเทศ ปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง เนื่องจากเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าเริ่มฟื้นตัว และสถานการณ์ COVID-19 ในหลายประเทศเริ่มคลี่คลาย ทำให้อุปสงค์ในตลาดต่างประเทศเพิ่มขึ้น แม้ว่าสถานการณ์การระบาดของ COVID-19 ในบ้านเรา จะมีจำนวนผู้ติดเชื้อในแบบทำสถิติรายวัน แต่ในภาคอุตสาหกรรม ยังคงปฏิบัติงานต่อเนื่อง แม้ว่าจะมีรายงานข่าวว่า พนักงานของผู้ผลิตชิ้นส่วนบางแห่ง ติดเชื้อ COVID-19 แต่ก็มีการหยุดสายการผลิตไม่มากนัก ยังคงประกอบรถยนต์ออกสู่ตลาดสม่ำเสมอ แม้จะมีปัญหาเรื่องขาดแคลนชิ้นส่วนในการผลิตก็ตาม ขณะเดียวกัน รัฐบาลได้ตั้งคณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ เพื่อผลักดันอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า ซึ่งไม่ใช่แค่การส่งเสริมให้เปลี่ยนการใช้รถยนต์สันดาปมาเป็นรถยนต์ไฟฟ้า (EV) แต่การส่งเสริมให้เกิดจะต้องสร้างสภาพแวดล้อมทางธุรกิจให้เอื้อกับภาคธุรกิจ โดยมีเป้าหมายระยะสั้น และระยะยาว โดยในระยะ 4 ปีข้างหน้า จะต้องผลักดันให้มีรถยนต์ไฟฟ้า 225,000 คัน ภายในปี 2568 คิดเป็น 10 % ของกำลังการผลิตรถยนต์ของประเทศไทยในปัจจุบัน รวมทั้งต้องผลักดันให้เกิดการลงทุนแบทเตอรีที่คิดเป็นต้นทุน 40 % ของยานยนต์ไฟฟ้า ซึ่งขณะนี้มีเอกชนสนใจที่จะลงทุนในแต่ละส่วน หันมาดู ประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2564 ที่ปรับลดอยู่ที่ 1.0 % จากประมาณการเดิมที่ 1.8 % เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 มีความรุนแรงกว่าที่เคยประเมิน ส่งผลกระทบให้ระบบสาธารณสุขของไทยเผชิญข้อจำกัด จึงมีความจำเป็นต้องมีมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดที่เข้มงวดขึ้น ขณะที่เป้าหมายยอดขายรถยนต์ในปีนี้ ที่เกือบทุกค่ายรถยนต์มองว่าทั้งปีน่าจะทำได้ 800,000-900,000 คัน เมื่อประเมินจากสถานการณ์ยอดขายรถยนต์ในช่วงครึ่งปีแรก เปรียบเทียบกับช่วงเวลาที่เหลืออีก 6 เดือนหลัง ซึ่งประเมินจากปัจจัยรอบด้าน ทั้งภาวะการแพร่ระบาดของ COVID-19 สภาพเศรษฐกิจโดยรวม ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคอาจไปไม่ถึง แวบไปดู ยอดจดทะเบียนรถยนต์ใหม่ป้ายแดงจากกรมการขนส่งทางบกในช่วงครึ่งปีแรก มกราคม-มิถุนายน ที่ผ่านมา พบว่ามียอดจดทะเบียนรถยนต์ใหม่ราว 300,000 คัน แบ่งเป็นรถยนต์นั่งส่วนบุคคลขนาดไม่เกิน 7 ที่นั่ง จำนวน 307,454 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนที่ 298,166 คัน และรถยนต์นั่งส่วนบุคคลเกิน 7 คน จำนวน 6,792 คัน ลดลงจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนที่ 9,758 คัน ในส่วนการส่งออก ค่ายรถยนต์ต่างก็ยืนยันกันหลายค่าย ที่ผลิตในประเทศไทย และส่งไปจำหน่ายต่างประเทศ ว่ายอดขายภายในประเทศปีนี้ แม้ว่าในครึ่งปีแรก จะไม่ค่อยดีเท่าที่ควร แต่ตัวเลขส่งออก กลับค่อยๆ ขยับตัวขึ้น ก็ได้แต่หวังว่า จะเป็นไปตามคำทำนาย ของผู้บริหารค่ายรถยนต์ และสถาบันต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ก็ขอให้สมดังคำทำนายเถิดพ่อเจ้าประคุณ ขออภัยท่านผู้อ่าน คอลัมน์ มาตรวัดตลาดรถ ฉบับกันยายน 2564 ไม่สามารถนำเสนอตารางเปรียบเทียบ ยอดจำหน่ายรถยนต์สะสม เดือนมกราคม-มิถุนายน 2021/2020, ยอดจำหน่ายรถยนต์ เดือนมิถุนายน 2021/2020, สถิติจำหน่ายรถยนต์ ประจำเดือนมิถุนายน 2021/2020 และสถิติจำหน่ายรถยนต์สะสม มกราคม-มิถุนายน 2021/2020 ได้ เนื่องจากสถานการณ์ COVID-19 ทำให้ได้รับข้อมูลจาก FTI (FEDERATION OF THAI INDUSTRIES) และ marklines.com ล่าช้ากว่าปกติ