ส่วนรถที่มีผลทางลบมาจากสรรพสามิตนี้ คือ รถกลุ่มอีโคคาร์ เพราะว่าภาษีอยู่ในกลุ่มรถยนต์นั่งไม่เกิน 3,000 ซีซี มีอัตราจัดเก็บเพิ่ม ยอมทำให้ต้นทุนต่อคันเพิ่มขึ้น และก็ไม่มีมาตรการจูงใจ หรือได้รับส่วนลดจากรัฐบาลเหมือนรถยนต์ไฟฟ้า
อีโคคาร์ที่ผลักดันกันมาตลอดน่าจะถูกลอยแพแล้ว หากมองกันตามโครงสร้างนี้ อีโคคาร์ คือ รถเพื่อประหยัดพลังงาน รัฐให้ใช้รถเล็กๆ กินน้ำมันน้อย แต่เมื่อรัฐหันมาส่งเสริมรถแบทเตอรี ผู้ผลิตอีโคคาร์มีทางเลือก คือ ปรับเทคโนโลยีขึ้น หมายถึง ต้นทุนสูงขึ้น แต่เงื่อนไขการส่งเสริมการลงทุนไม่ได้เปิดทางให้ปรับเปลี่ยนเทคโนโลยีเครื่องยนต์ใดๆ สิ่งที่ทำได้ คือ ปิดของเก่า เริ่มโครงการใหม่ที่ได้รับสิทธิ์ภาษีมาทำ
แน่นอนว่าของเก่าจะเอาไปไหน ทำได้ง่าย คือ ย้ายฐานการผลิตไปหาบ้านใหม่ในต่างประเทศ การเปลี่ยนแปลงแนวคิดด้านภาษีรถยนต์บ้านเรานั้น เกิดขึ้นหลายวาระ ขึ้นอยู่ว่าจะให้ภาษีสรรพสามิตทำหน้าที่อะไร เพื่อจุดประสงค์อย่างไร
กาลครั้งหนึ่ง ไทยเคยใช้เป็นเครื่องมือสร้างเศรษฐกิจรากฐานของประเทศ โดยการดึงมหาอำนาจทางด้านรถยนต์มาผลิตในประเทศ ให้คนไทยใช้ของที่ผลิตในประเทศ รักษาเงินตราต่างประเทศ และเก็บเงินภาษีเข้ารัฐ ครั้งหนึ่งเป็นการลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ คนรวยใช้รถหรูต้องเสียภาษีสูงกว่าคนทั่วไป ระยะหลังภาษีสรรพสามิตตามกระแสโลกที่พัฒนาไป กลายเป็นเครื่องมือด้านสิ่งแวดล้อม และให้ความสำคัญกับเทคโนโลยีที่ผู้บริโภคจะได้รับ ค่ายรถไหนมีเทคโนโลยีสูง ก็ได้เปรียบทางด้านภาษี ซึ่งส่วนใหญ่เป็นรถหรูราคาแพงๆ
กลุ่มลูกค้าที่ซื้อรถในบ้านเรา ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มคนที่สามารถซื้อรถผ่อนเดือนละ 6,000-8,000 บาท คือ มีรายได้ราว 30,000 บาท/เดือน แต่จากโครงสร้างภาษีใหม่ คือ การบีบรถยนต์เครื่องสันดาปให้มีต้นทุนภาษีสูง หากค่ายรถไม่สามารถทำตามเงื่อนไขนั้นได้ รถต้องแพงขึ้น แรงกดดันจึงอยู่กับลูกค้ากลุ่มใหญ่กลุ่มนี้ เพราะไม่มีรถ BEV ในราคาสำหรับคนต้องการผ่อน 6,000-8,000 บาท ให้เลือกซื้อเลย เท่ากับว่าคนหาเช้ากินค่ำก็เสียเปรียบ คนรวยมีอำนาจซื้อได้รถคุ้มค่า ด้วยเนื้อภาษีที่เก็บในอัตราต่ำกว่า บอกไว้ตรงนี้เลยว่า ระยะยาวลูกค้ากลุ่มใหญ่ของเมืองไทยกำลังเผชิญภาวะ "รถถูก" สูญพันธุ์ไปจากตลาด ซึ่งเวลานั้นไม่เลือกไม่ได้ เพราะไม่มีรถใช้งานนั่นเอง โปรดเก็บตังค์ไว้เยอะๆ สำหรับการซื้อรถ 1 คันในอนาคต บทความแนะนำ

