รอบรู้เรื่องรถ
เครื่องยนต์ OVERHEATED ต้องรีบดับเครื่อง
ขณะที่ผมพิมพ์ต้นฉบับอยู่นี้ เป็นวันที่ 25 ของเดือนกุมภาพันธ์ ผมไม่อยู่ในกลุ่มคนที่พร้อมจะพิมพ์ต้นฉบับได้ตามต้องการ เมื่อใดก็ตามที่โอกาสอำนวยให้ แต่เป็นพวกที่ต้องรอให้อารมณ์ดีก่อน ซึ่งก็คือช่วงเวลาก่อนหน้านี้แค่ครึ่งชั่วโมงเท่านั้น เพราะแค่เริ่มงานได้ไม่กี่บรรทัด ก็มีข่าวใหม่เข้ามา ที่อ่านแล้วทำให้ความรู้สึกที่ดีของผม มันสูญหายมลายสิ้นไปทันที และต้องพักเรื่องเดิมไว้ก่อน เพื่อให้ทันกาลกับกำหนดที่ “ฟอร์มูลา” ฉบับนี้ จะถูกวางตลาดในวันที่ 1 เมษายน และข่าว “เฮงซวย” และสุดบัดซบที่ว่านี้ก็คือ บัดนี้ได้มีมติจากความฉลาดปราดเปรื่องของรัฐบาล โดยความร่วมมือของฝ่ายการจราจรของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กับกรมการขนส่งทางบก ในการจัดการกับประชาชน ที่ไม่ชำระค่าปรับให้แก่สำนักงานตำรวจแห่งชาติตามกำหนดใน “ใบสั่ง” หลังจากที่ล้มเหลวมาแล้ว ในการเจตนาละเมิดกฎหมาย บังอาจใช้อำนาจโดยมิชอบ ไปจับกุมตัวผู้ใช้รถบางรายถึงบ้าน โดยหวังจะใช้เป็นตัวอย่างในการข่มขู่ประชาชนให้เกรงกลัว พวกเรายังโชคดีครับ ที่มีทั้งผู้พิพากษา อัยการ และทนายความ ที่รักความเป็นธรรม ออกมาชี้แจง และปรามการกระทำที่ผิดกฎหมายเสียเองของฝ่ายตำรวจ
ข่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้ ที่ผมได้รับในวันนี้ก็คือ บัดนี้รัฐบาลได้มีมติเห็นชอบ ให้เปลี่ยนแนวทางในการเล่นงานประชาชนเสียใหม่ จากเดิมที่กำหนดให้กรมการขนส่งทางบก งดการต่อภาษีประจำปี ให้แก่ผู้ที่ยังมิได้ชำระค่าปรับของตำรวจจราจรให้ครบถ้วน ซึ่งการไปสั่งให้ใครก็ตาม ให้งดรับเงินที่เจ้าของเงินเขาเต็มใจจะจ่ายให้ ก็น่าจะมีแต่กระบือเท่านั้น ที่จะยอมทำตาม และก็เป็นไปตามคาด ที่เจ้าหน้าที่ของกรมการขนส่งทางบก เขา “ไม่เอาด้วย” ให้เป็นการยินยอมรับเงินค่าภาษีประจำปีไว้ ซึ่งแน่นอนว่า กรมการขนส่งทางบกต้องออกใบรับเงินให้ และต้องลงบันทึกใน “เล่มทะเบียน” ด้วย ว่าเจ้าของรถได้ชำระเงินค่าภาษีเรียบร้อยแล้ว มิฉะนั้นก็จะเป็นการฉ้อโกงเจ้าของรถ “มุกเด็ด” ของฝ่ายตำรวจจราจร ที่รัฐบาลภาคภูมิใจมาก ว่ามาจากมันสมองระดับ IQ 160 อันปราดเปรื่อง ของใครคนหนึ่งในที่ประชุม แต่ประชาชนผู้ใช้รถอย่างพวกเรา ฟังแล้วอยากจะถามกลับไปว่า ใช้หัวส่วนบน หรือหัวส่วนล่างของร่างกายคิด ซึ่งก็คือ ให้กรมการขนส่งทางบกรับเงินไว้แล้วยักท่า อย่ามอบ “ใบภาษีรถยนต์” หรือบางคนก็เรียกว่า “ใบภาษีสี่เหลี่ยม” ให้แก่เจ้าของรถ หากตรวจสอบจากรายชื่อ ที่รับมาจากฝ่ายตำรวจจราจร แล้วพบว่าเจ้าของรถยังค้างชำระค่าปรับอยู่ ผมขอหยุดอยู่แค่นี้ก่อนนะครับ เพราะยังไม่มีรายละเอียดปลีกย่อยในข่าว ผมเชื่อว่า กว่าจะถึงปลายเดือนมีนาคม ซึ่งผมจะส่งมอบต้นฉบับของเดือนถัดไป (ที่จะถึงมือท่านผู้อ่านตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม) พวกเราจะได้รับทราบรายละเอียดในเรื่องนี้กันครบถ้วน เพราะมีการแจ้งมาแล้ว ว่าจะยกเลิกเรื่องน่าอับอายของตำรวจจราจรในอดีตทั้งหมด (ถึงไม่ยอมยกเลิก ก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี) แล้วตั้งต้นจัดการประชาชนด้วยวิธีใหม่ ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน เป็นต้นไป ระหว่างนี้ตัวผมก็จะติดตามรายละเอียดในเรื่องนี้ และจะมาให้ความเห็นในเดือนถัดไปครับ แต่แค่ที่เป็นข่าวออกมานี้ ก็ทำให้ผมเห็นใจอธิบดีกรมการขนส่งทางบก และข้าราชการในระดับบริหารของกรมการขนส่งทางบกนี้ เป็นอย่างมากแล้วครับ เพราะเงินค่าภาษีที่จะเก็บได้ ย่อมลดลงอย่างแน่นอน ส่วนที่เพิ่มมาแทน จะกลับกลายเป็นเสียงด่าจากประชาชน
ระหว่างนี้ มาหาความสนุกสนานกับเทศกาลสงกรานต์กันดีกว่าครับ จนถึงขณะที่ผมพิมพ์ต้นฉบับอยู่นี้ ยังไม่มีการชี้แจงถึงมาตรการในการฉลองเทศกาลนี้ ออกมาจากรัฐบาลครับ ถ้าให้ผมออกความเห็นส่วนตัว ผมบอกว่า มาตรการของการฉลองเทศกาลนี้ในปีที่แล้ว เหมาะที่สุดที่จะนำมาใช้ในปีนี้ และต่อไปในอนาคตด้วย แม้ว่าการแพร่ระบาดของโรคติดต่อร้ายแรงนี้ จะทุเลาลงมากแล้วก็ตาม สำหรับเรื่องความปลอดภัยขณะเดินทาง ผมได้แนะนำไปหลายครั้งแล้ว ในปีนี้จึงขอจำกัดไว้แค่ปัญหาทางเทคนิค ที่มักจะเกิดขึ้นเมื่อเดินทางไกลในฤดูร้อน แต่เพียงอย่างเดียวนะครับ
ตั้งแต่จำความได้ ผมเห็นรถที่เครื่องยนต์ชำรุดเพราะร้อนจัดมามากมาย ถ้านับอาจจะหลายร้อย หรือไม่ก็เกินหนึ่งพันคัน คำว่าร้อนจัดอาจจะชวนให้เข้าใจผิด เพราะความหมายยังไม่ถูกต้องนัก กรณีนี้ภาษาอังกฤษจะสั้น และเข้าใจได้ง่ายกว่า คือ OVERHEATED หมายถึง ร้อนเกินระดับใช้งานปกตินั่นเองครับ มีสาเหตุหลายประการด้วยกัน เช่น พัดลมไฟฟ้าไม่ทำงาน คลัทช์ความหนืดของพัดลมเสื่อมสภาพ สายพานขาด ท่อน้ำรั่ว หรือแตก ฯลฯ
ไม่ว่าจะด้วยเหตุใดก็ตาม สาเหตุบั้นปลาย ก็คือเครื่องยนต์ถูกใช้งานโดยขาดของเหลว (น้ำ) ช่วยระบายความร้อน เพราะตราบใดที่ยังมีน้ำหล่อเย็น เครื่องยนต์ก็ยังไม่ OVERHEATED จนถึงชั้นชำรุด เช่น พัดลมไฟฟ้าเสีย ความร้อนจะสูงขึ้นเรื่อยๆ ก่อน จนเกินจุดเดือดของน้ำในระบบ พอน้ำเดือดก็จะกลายเป็นไอทะลักออกมา เมื่อน้ำในระบบขาดไป เครื่องยนต์จึงจะชำรุด อาการประจำส่วนใหญ่ ก็คือฝาสูบโก่ง เติมน้ำเข้าไปใหม่แล้วรั่ว บางทีอาจมีรายการปะเก็น (GASKET) ชำรุดพ่วงด้วย ทำไมฝาสูบของรถสมัยนี้ซึ่งทำด้วยอลูมิเนียมจึงโก่ง
เมื่อเครื่องยนต์ถูกใช้งานโดยมีน้ำหล่อเย็นไม่เพียงพอ เพราะฝาสูบรับความร้อนจากการเผาไหม้ในกระบอกสูบ จนเนื้ออลูมิเนียมร้อนถึงจุดที่อ่อนตัวแบบไม่คืนกลับครับ ตรงไหนถูกดัน หรือดัดมากก็งอมาก พอเครื่องเย็นก็อยู่ในสภาพนั้น แรงบีบระหว่างฝาสูบ และเรือน หรือเสื้อเครื่องยนต์ซึ่งมีปะเก็นฝาสูบคั่นอยู่ จึงลดลงมากในบางจุด ไม่สามารถ "กันน้ำ" ได้อีกต่อไป
ความเสียหายทำนองนี้ค่อนข้างหนักครับ เพราะต้องรื้อฝาสูบออกมา "กัด" ให้เรียบ ช่างชอบเรียกว่า "ไส" ซึ่งไม่ถูกต้อง เพราะถ้าไสจะได้ผิวเป็นเส้น และไม่เรียบพอ ถ้ามีเนื้อฝาสูบเหลือให้ไสก็ยังโชคดีครับ แต่รถราคาสูงยุคนี้ เครื่องยนต์ถูกออกแบบให้มีห้องเผาไหม้ที่มีประสิทธิภาพสูง คือ ประหยัดเชื้อเพลิง ให้กำลังสูง สารพิษในไอเสียน้อย ห้องเผาไหม้จึงมีรูปทรงเฉพาะ คลาดเคลื่อนไม่ได้ คือ เอาเนื้อมันออกไม่ได้นั่นเองครับ ต้องเปลี่ยนฝาสูบอันใหม่เท่านั้น หลายรุ่นราคาเกิน 1 แสนบาทนะครับ
เพราะฉะนั้นจะถือเป็นเรื่องเล็ก หรือไม่สนใจไม่ได้ ถึงถือว่ามีเงิน ก็อาจจะได้คำตอบจากตัวแทนจำหน่ายว่า ไม่ได้เตรียมฝาสูบรุ่นนี้ไว้ในคลังอะไหล่เลย ต้องสั่งใหม่จากต่างประเทศ เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นบ่อยๆ ครับ วิธีป้องกันความเสียหาย และเสียเงินระดับนี้ ก็คือ หมั่นชำเลืองดูมาตรวัดความร้อนเป็นระยะครับ ใหม่ๆ อาจจะรู้สึกว่าใครจะทำไหว แต่ถ้ารู้ความสำคัญจนเกิดสำนึก และฝึกจนชินในเวลาไม่กี่วันแล้ว ก็จะติดเป็นนิสัยที่ดีตลอดไป โดยเฉพาะเมื่อขับที่ความเร็วสูงอย่างต่อเนื่อง ต้องหมั่นมองให้ถี่หน่อยครับ เพราะถ้าน้ำแห้งสัก 5 นาทีก็พังแล้ว
ปัญหาที่ผมพบอยู่ไม่น้อย คือ พวกที่รู้แล้วว่าเครื่องยนต์ร้อนจัด แต่ "ไม่กลัว" หรือไม่ก็ขี้เกียจจอด หรือไม่ก็ประมาทเข้าข้างตัวเองว่า อีกไม่เท่าไรก็ถึงที่หมายแล้ว ผลเสียหายที่ตามมานั้นบางทีเกินร้อยเท่าครับ แทนที่จะโทรศัพท์ให้ศูนย์บริการส่งช่างมาซ่อม หรือลากไปเข้าอู่ ซึ่งค่าใช้จ่ายอยู่ในระดับ 1,000-3,000 บาท กลับต้องเสีย "ค่าสบาย" เป็นแสน
วิธีปฏิบัติที่ถูกต้อง คือ รีบหยุดรถ และดับเครื่องยนต์ทันที ห้ามรองน้ำไปราดบนเครื่องยนต์เด็ดขาด ตามช่างจากศูนย์บริการ หรืออู่ประจำที่ไว้ใจได้มาจัดการ แล้วขึ้นแทกซีไปทำธุระแทนครับ ห้ามใช้ช่างจรที่มันชอบโผล่มาหาเราได้อย่างรวดเร็วน่าทึ่งเหมือนไม่ใช่คนเด็ดขาดครับ พวกนี้นักต้มมนุษย์ทั้งนั้น ถ้าการจราจรไม่ติดขัด มีประสบการณ์ และความกล้าพอ ก็สามารถขับต่อได้ครับ
ถ้าพักจนความร้อนลดลง ตราบใดที่ "เข็มความร้อน" ชี้ยังไม่สุด หรือยังไม่ถึงขีดแดง หรือแถบแดง เครื่องยนต์จะไม่ชำรุด ใช้วิธีพักดับเครื่องยนต์เป็นระยะได้ ถ้ามีปัญหาความร้อนสูงเพราะพัดลมไม่ทำงาน ตรวจน้ำให้เพียงพอแล้วขับให้เร็วพอในเกียร์สูง เช่น เกิน 50 กม./ชม. ในเกียร์ 4 หรือ 5 ก็จะขับต่อเนื่องได้ครับ เพราะอาศัยลมปะทะผ่านหม้อน้ำก็เพียงพอแล้ว เมื่อใดรถติดค่อยใช้วิธีพักดับเครื่องยนต์เป็นระยะ
จำไว้เป็นหลักง่ายๆ ครับว่า ถ้าไม่ฝืนขับทั้งๆ ที่เครื่องยนต์ร้อนเกินเกณฑ์ปกติ เครื่องยนต์จะไม่มีวันชำรุด และเราก็จะไม่มีวันต้องเสียค่าซ่อมมากมายด้วย
เรื่องโดย : เจษฎา ตัณฑเศรษฐี
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน เมษายน ปี 2566
คอลัมน์ Online : รอบรู้เรื่องรถ
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/446077