เปรียบเทียบยอดจำหน่ายรถยนต์ประจำเดือนสิงหาคม 2023/2022
ตลาดโดยรวม -11.7 %
รถยนต์นั่ง +4.9 %
รถกิจกรรมกลางแจ้ง (SUV) +43.5 %
กระบะ 1 ตัน -32.6 %
รถเพื่อการพาณิชย์ +9.2 %
เปรียบเทียบยอดจำหน่ายรถยนต์ประจำเดือนมกราคม-สิงหาคม 2023/2022
ตลาดโดยรวม -6.2 %
รถยนต์นั่ง +9.4 %
รถกิจกรรมกลางแจ้ง (SUV) +28.8 %
กระบะ 1 ตัน -22.1 %
รถเพื่อการพาณิชย์ -3.9 %
ท่านผู้อ่านที่ติดตามคอลัมน์ มาตรวัด มาตลอดระยะเวลา 11 เดือนที่ผ่านมา ผมรายงานเรื่องของการเปลี่ยนแปลงในวงการยานยนต์ไทย เพื่อชี้ให้เห็นรายละเอียดหลายๆ แง่มุม ที่เกี่ยวกับรถยนต์สัญชาติจีนที่มีอิทธิพลต่อช่วงการเปลี่ยนถ่ายเทคโนโลยียานยนต์ และช่วงที่กำลังจะครบ 1 ปีนี้ จึงขอสรุปทิศทางของตลาดรถยนต์ของไทยที่กำลังก้าวไปข้างหน้าแบบไม่เหมือนเดิม โดยสมมติฐานจากสถานการณ์ตลาดปัจจุบันที่ค่ายรถยนต์จีนได้ไหล่บ่าออกจากแผ่นดินใหญ่มาปักหลักในอาเซียน
กล่าวได้ว่า ประเทศไทย คือ ศูนย์กลางสำคัญสำหรับฐานการผลิตรถยนต์พวงมาลัยขวาของจีน ด้วยตลาดรถยนต์ในประเทศไทยยังคงเปิดกว้างต่อรถยนต์ไฟฟ้า แม้มีข้อจำกัดของระบบนิเวศอยู่บ้าง เพราะประตูของเราเพิ่งเปิดออก
ทำให้ระบบการชาร์จ และสถานีชาร์จ ยังไม่เพียงพอ และพื้นฐานการสาธารณูปโภคยังต้องการการลงทุน และพัฒนาเพิ่มเติมขึ้นไปอีก ซึ่งในส่วนนี้เป็นข้ออ้างของผู้ผลิตรถยนต์ญี่ปุ่นที่ไม่สามารถเคลื่อนทุนเพื่อการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในไทยได้อย่างรวดเร็ว
การที่ค่ายรถญี่ปุ่นยังคงอ้างถึงข้อพิจารณาเรื่องความพร้อมในส่วนนี้ แต่รถยนต์จากจีนไม่นำมาเป็นประเด็น ด้วยค่ายรถยนต์จากจีนนั้นมีความสามารถในการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าสูงมาก เรียกว่าทำรถยนต์ไฟฟ้าออกมาง่ายดายเหมือนผลิตของเล่น การขายก็เช่นกัน ไม่พร้อมไม่เป็นไร ขายไปก่อน อย่างอื่นตามมาทีหลัง ที่สำคัญ ตลาดไทยมีการตอบรับรถยนต์จากจีนที่ดีเสียด้วย
ผู้บริโภคชาวไทย ความต้องการรถยนต์ในประเทศไทยให้การยอมรับรถยนต์ไฟฟ้ามากขึ้น แม้เป็นส่วนน้อยที่ตัดสินใจซื้อ เมื่อเทียบกับปริมาณของรถยนต์ที่ใช้น้ำมันเชื้อเพลิง ขนาดตลาดรถยนต์ไทยมียอดรวมปีละ 8 แสนคัน มีรถยนต์ไฟฟ้าออกมาปีละ 30,000 คัน แต่โดยรวมเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ ในย่านอาเซียน อัตราการเติบโตของประชากรรถยนต์ไฟฟ้า ไทยนำหน้าโด่งทีเดียว ซึ่งตรงนี้ค่ายรถยนต์ญี่ปุ่นต้องทำการปรับกลยุทธ์การตลาด ทั้งรถยนต์ที่ใช้เชื้อเพลิง และต้องสร้างความต้องการรถยนต์ไฟฟ้าของตัวเองขึ้นมา ซึ่งหากช้ามันจะกลายเป็นงานยาก
เหตุผลที่ผู้ผลิตรถยนต์ญี่ปุ่นในประเทศไทยไม่สามารถขยายการจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้าได้เท่ากับรถยนต์จากจีน อาจเกิดจากปัจจัยหลายอย่าง เช่น รถยนต์ญี่ปุ่นมีภาพลักษณ์ที่เชื่อถือได้ และมีความนิยมสูงในประเทศไทย แต่เมื่อเป็นเรื่องของรถยนต์ไฟฟ้ากลับไม่เป็นที่รู้จักในตลาด ความสามารถในการแข่งขันกับผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า ระหว่างผู้ผลิตรถญี่ปุ่น กับผู้ผลิตรถยนต์จากจีน จะพบว่าค่ายรถยนต์จีนมีการลงทุนในรถยนต์ไฟฟ้า และมีความสามารถในการแข่งขันในตลาดรถยนต์ไฟฟ้ามากกว่า เพราะในจีนเองผู้ผลิตมีความคุ้นเคยกับเทคโนโลยีรถยนต์ไฟฟ้ามากกว่า ทำให้สามารถแนะนำรถหลากหลายรุ่น จึงทำให้ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าจากจีนมีความหลากหลายในรุ่น และสไตล์ของรถยนต์ที่นำเข้ามาจำหน่ายในประเทศไทย ทั้งรถยนต์นั่ง และรถยนต์อเนกประสงค์ ผู้บริโภคก็มีตัวเลือกในการเลือกซื้อรถยนต์ไฟฟ้าที่ตรงกับความต้องการมากขึ้น
นอกจากนี้ ผู้ผลิตรถยนต์จากจีนมีความสามารถในการปรับเปลี่ยนผลิตภัณฑ์เพื่อตอบสนองต่อความต้องการ และแนวโน้มของตลาดท้องถิ่นมากกว่า การนำเสนอฟังค์ชันต่างๆ ของรถยนต์ไฟฟ้าเหมาะสมกับสภาพแวดล้อม และความต้องการของผู้บริโภคในไทย
“แน่นอนว่าผู้ผลิตรถยนต์จากจีนมักนำเข้า และแนะนำเทคโนโลยี และนวัตกรรมใหม่ๆ ในขณะที่ผู้ผลิตรถยนต์ญี่ปุ่นนั้น ไม่สามารถรักษาความเป็นผู้นำในเรื่องนี้ได้เลย”
รถยนต์จากจีนอาจมีการขยายเครือข่ายน้อย แต่มีการลงทุนเพื่อการผลิตในตลาดไทยมากขึ้นเป็นลำดับ แนวโน้มนี้อาจส่งผลให้รถยนต์จากจีน คว้าส่วนแบ่งตลาดในประเทศไทยมากขึ้น ท่ามกลางความหลากหลายของรถยนต์ที่นำเสนอ ต้นทุนการผลิตของรถยนต์จีนที่ทำได้ต่ำกว่า ความพร้อมในการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีรถยนต์จากจีนเอง ก็ยังทำได้เร็ว ทำให้ราคาของรถยนต์ไฟฟ้าจากจีนแข่งขันได้ในตลาด
อย่างไรก็ตาม มีข้อเด่นก็ต้องมีความท้าทายสำหรับการสร้างความสำเร็จของรถยนต์ค่ายจีนในประเทศไทย ประการสำคัญ คือ ภาพลักษณ์ของบแรนด์ เนื่องจากรถยนต์จากจีนยังไม่ได้รับการยอมรับเท่ารถยนต์จากญี่ปุ่น การที่จีนต้องพิสูจน์ว่ารถยนต์ของพวกเขามีมาตรฐานคุณภาพ และความปลอดภัยที่เท่าเทียมกับรถยนต์จากบแรนด์อื่นที่อยู่มาก่อนหน้า เป็นเรื่องสำคัญ ซึ่งค่ายรถยนต์จีนคงรอให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ความน่าเชื่อถือ และเป็นบททดสอบคุณภาพของสินค้า กับความวางใจของผู้บริโภคชาวไทยในระยะยาว ปัจจัยท้ายสุดนี้ละ มีความสำคัญกว่าเทคโนโลยีล้ำสมัย หากจีนทำได้ เท่านี้ค่ายรถยนต์จีนจะเป็นผู้ชนะในไทยได้อย่างไม่ยากเย็น