SKILL DRIVING EXPERIENCE: ขับเป็น...ขับปลอดภัย กับ สื่อสากล จุดเด่นหลักสูตรการฝึกทักษะการขับขี่ที่เข้มข้น พร้อมรถยนต์ที่ใช้ในกิจกรรมที่หลากหลาย โดยในปีนี้ได้รับการสนับสนุนจากค่ายรถ BMW (บีเอมดับเบิลยู), MERCEDES-BENZ (เมร์เซเดส-เบนซ์) และ SUBARU (ซูบารุ) กับหลากหลายรูปแบบตัวถัง และระบบขับเคลื่อน ได้แก่ ขับเคลื่อน 2 ล้อหลัง ขับเคลื่อน 2 ล้อหน้า และขับเคลื่อน 4 ล้อ
สถานี OVERSTEERING
รถที่ใช้ฝึกอบรม : BMW 330E
การฝึกอบรมสถานี OVERSTEERING จำลองสถานการณ์รถยนต์เกิดอาการ “ท้ายปัด” หรือหมุนในทางโค้ง จากการสูญเสียการยึดเกาะถนนของล้อคู่หลังขณะเข้าโค้ง โดยครั้งนี้มีการปรับเปลี่ยนรูปแบบของสถานีให้มีความคล้ายคลึงกับการเลี้ยวกลับรถในมุมแคบ แล้วผู้ขับทำการกดคันเร่งขณะทำการเลี้ยว ทำให้เกิดอาการท้ายปัดเช่นกัน การแก้ไขสถานการณ์ต้องอาศัยการหักเลี้ยวไปในทิศทางตรงกันข้ามที่ทันท่วงที ผนวกกับการชะลอความเร็วโดยการยกคันเร่ง ทันที่รถออกอาการท้ายปัดบนพื้นผิวเปียกน้ำของสถานีนี้ ผู้เข้าร่วมการฝึกอบรมจะได้สัมผัสการหมุนของตัวรถด้วยตนเอง รวมถึงการฝึกจับอาการท้ายปัด และแก้ไขอย่างทันท่วงที
สถานี EMERGENCY BRAKING และ UNDERSTEERING
รถที่ใช้ฝึกอบรม : SUBARU FORESTER
หนึ่งในวิธีลดโอกาสการเกิดอุบัติเหตุ คือ การเบรคอย่างทันท่วงที หรือ EMERGENCY BRAKING นั่นคือ การกดแป้นเบรคอย่างรวดเร็ว และหนักแน่นจนกระทั่งระบบ ABS ทำงาน นอกจากนี้ ผู้ฝึกอบรมจะเบรคที่ความเร็วแตกต่างกัน เพื่อรับรู้ระยะเบรคที่แตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด รวมถึงความสำคัญของเวลาจากการตอบสนองของผู้ขับจากการพบเจอสิ่งกีดขวาง และทำการกดแป้นเบรคลงไป แม้เป็นเวลาเพียงเสี้ยววินาที แต่ก็ใช้ระยะทางหลายเมตรแล้ว การมีสติขณะขับรถเป็นสิ่งที่ควรตระหนักให้ดีต่อกันด้วย UNDERSTEERING หรือที่คุ้นเคยกับคำว่าอาการ “แหกโค้ง” ตัวรถจะหักเลี้ยวน้อยกว่าที่ต้องการ จากการใช้ความเร็วสูงเกินระดับที่ล้อคู่หน้าจะยึดเกาะถนนได้ ตามปกติความเคยชินของผู้ขับบางคนจะพยายามหักเลี้ยวมากขึ้น แต่ความจริงแล้ว อาการ UNDERSTEERING จะยิ่งเกิดมากขึ้นแทน การแก้ไข คือ รีบลดความเร็วลงมาด้วยการยกคันเร่ง หรือทำการเบรคเบาๆ (ป้องกันรถไม่ให้เกิดอาการสะบัดในโค้ง) จนกระทั่งล้อคู่หน้ามีการยึดเกาะถนนอีกครั้ง สามารถควบคุมทิศทางได้ตามต้องการ อาการของตัวรถลักษณะนี้มักเจอได้บ่อยกว่ารูปแบบอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์ขับเคลื่อนล้อหน้า ล้อหลัง หรือ 4 ล้อก็ตาม
สถานี EMERGENCY LANE CHANGE และ ELK TEST
รถที่ใช้ฝึกอบรม : MERCEDES-BENZ A200
EMERGENCY LANE CHANGE คือ การฝึกวิธีการหลบหลีกสิ่งกีดขวางในระยะกระชั้นชิดด้วยการหักเลี้ยวอย่างรวดเร็ว ดังนี้แล้ว ตำแหน่งเบาะนั่งที่เหมาะสม ตลอดจนการจับพวงมาลัยที่ถูกต้อง มีความจำเป็นมาก แม้ช่องว่างของการหักเลี้ยวรถจะค่อนข้างแคบ แต่ผู้ฝึกอบรมสามารถแล่นผ่านไปได้ แม้ใช้ความเร็วค่อนข้างมาก (40-60 กม./ชม.) เป็นอีกหนึ่งทักษะการขับขี่ที่มีประโยชน์ไม่น้อย ต่อด้วย ELK TEST หรือการหลบหลีกสิ่งกีดขวางบนถนนในระยะกระชั้นชิด (เช่น สัตว์ใหญ่ หรือวัตถุขนาดใหญ่) เป็นการหักเลี้ยว 2 ครั้งต่อเนื่องกัน สลับซ้าย/ขวา จำลองสถานการณ์การหลบสิ่งกีดขวาง และหักเลี้ยวกลับมายังเลนเดิม สำหรับถนนที่เป็นเลนสวนทาง การควบคุมพวงมาลัย และสายตาที่มองไปยังจุดปลอดภัยแต่ละตำแหน่ง ช่วยให้ผู้ขับหลบสิ่งกีดขวางได้ทันท่วงที และหักเลี้ยวต่อเนื่องได้อย่างมั่นคง
ขอขอบคุณผู้สนับสนุนอย่างเป็นทางการ ดังต่อไปนี้
1. บริษัท บีเอ็มดับเบิลยู (ประเทศไทย) จำกัด
2. บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด
3. บริษัท ทีซี ซูบารุ (ประเทศไทย) จำกัด
4. บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน)
5. กลุ่มบริษัท ดีสโตน
6. บริษัท สิงห์ คอร์เปอเรชั่น จำกัด
สถานที่สำหรับการฝึกสอน SKILL DRIVING EXPERIENCE: ขับเป็น...ขับปลอดภัย กับ สื่อสากล ณ สนามแข่งรถปทุมธานีสปีดเวย์
บทความแนะนำ