รอบรู้เรื่องรถ
แปลกแต่จริง เมืองคนเถื่อน ที่ทันสมัย
ประเทศไทยเราในยุคนี้ เป็นดินแดนที่ชวนพิศวงอย่างแท้จริง เพราะอะไรที่ไม่น่ามี หรือไม่น่าจะเกิดขึ้น ในอารยประเทศทั้งหลาย มันกลับกลายเป็นเรื่องปกติธรรมดา สำหรับพวกเราชาวไทยไปเสียแล้ว พวกเราทุกคนน่าจะได้เห็นข่าวระดับประเทศกันแล้ว ว่ามี “แก๊งกวนเมือง” ซึ่งเป็นกลุ่มวัยรุ่น อายุไม่เกิน 15 ปี ออกตระเวนทำร้ายผู้อื่น เสมือนว่าเป็นผู้อยู่เหนือกฎหมาย ที่ไม่มีใครกล้าจับพวกมันมาลงโทษ โดยใช้รถจักรยานยนต์เป็นพาหนะ หรือเครื่องมือในการก่อกรรมชั่วนี้ แปลกไหมครับ ทุกคนไม่ว่าจะเป็นฝ่ายสื่อ หรือเจ้าหน้าที่ตำรวจ ล้วนบรรยายการกระทำของพวกมัน ในแง่มุมต่างๆ ให้ประชาชนเช่นพวกเรารับรู้ แต่กลับแสดงความไร้เดียงสา ด้อยปัญญาออกมา ด้วยการมองข้ามความผิดเบื้องต้น ของเดนมนุษย์พวกนี้ ว่าที่จริงแล้วพวกมันไม่มีสิทธิ์ขับขี่รถจักรยานยนต์ บนถนนสาธารณะทุกที่ สามารถเข้าจับกุมพวกมันได้ทันที โดยไม่ต้องเฝ้ารอ ว่าเยาวชนกากเดนพวกนี้ มันจะลงมือทำร้ายใคร และเมื่อใดเลย เชื่อไหมครับว่าทุกวันนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจจราจร ปล่อยปละละเลย ถึงขั้นปล่อยให้เด็กอายุแค่ 10 ขวบ ขับขี่รถจักรยานยนต์เย้ยกฎหมายกันได้ทั่วประเทศแล้ว
สัปดาห์ที่แล้วขณะหยุดรถอยู่ที่ทางแยกแห่งหนึ่ง ผมเหลือบไปมองรถคันที่หยุดอยู่ด้านข้างของรถผม ก็เห็นผู้ที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ผู้ขับ เป็นเด็กหญิงซึ่งไม่ว่าจะประมาณอายุให้มากที่สุดอย่างไร ก็ไม่เกิน 15 ปี พาน้องสาวอายุประมาณ 10-11 ปี นั่งมาด้วยทางด้านหน้าซ้าย เป็นรถคันหน้าสุดที่หยุดอยู่ตรงทางแยกนี้คู่กับรถของผม อย่านึกว่าผมจะเขียนต่อว่าผมตกตะลึง หรือแปลกใจนะครับ เพราะมันไม่ใช่สิ่งแปลกใหม่สำหรับผม แต่มีสิ่งที่พอจะทำให้แปลกใจอยู่บ้าง ก็คือด้านหน้าของรถมีตำรวจจราจรยืนทำงานอยู่ และก็มองเห็นด้วยว่า มีเด็กอายุห่างเกณฑ์ที่จะทำใบขับขี่ได้หลายปี กำลังขับรถอยู่โดยไม่รู้สึกเคารพกฎหมายใดๆ ทั้งสิ้น ทำไมตำรวจจราจรจึงมีพฤติกรรมเช่นนี้ คำตอบที่ตรงที่สุดน่าจะเป็น ก็เพราะตำรวจจราจรส่วนใหญ่ไม่มีจรรยาบรรณเพียงพอ เพราะถ้ามีสำนึกด้านความปลอดภัย มีสำนึกเรื่องการทำให้ประชาชนผู้ใช้รถ เคารพกฎหมาย เขาจะไม่มีวันมองเฉยแล้วปล่อยให้สิ่งเหล่านี้ผ่านไปอย่างแน่นอน
แต่มีอีกสาเหตุหนึ่งครับ ที่ทำให้มีเรื่องแย่ๆ เหล่านี้บนถนนหลวง นั่นคือ ความขี้เกียจของตำรวจจราจร เพราะการจับผู้ขับรถที่ไม่มีใบขับขี่ มันยุ่งยากกว่าการจับผู้มีใบขับขี่ ไม่ว่าจะเป็นการจับแบบถูกต้อง กินรางวัล 60 % โดยยึดใบขับขี่ แล้วออกใบสั่งให้ไปเสียค่าปรับพร้อมรับใบขับขี่คืน หรือจะเป็นการ “รีดเงิน” ยักยอกเอาเข้ากระเป๋าตัวเองโดยไม่ต้องออกใบสั่งก็ตาม มันผิดตั้งแต่วิธียึดใบขับขี่เป็นประกัน เป็นเงื่อนไขในการลงโทษแล้ว ที่จริงแล้วต้องใช้วิธีให้เจ้าของรถเป็นผู้รับผิดชอบ ซึ่งอย่างช้าที่สุดก็จะต้องไปรับผลของการกระทำ เมื่อต่ออายุทะเบียนประจำปี คนที่มีส่วนสนับสนุนให้เด็กทำผิดกฎหมายโดยตรง ก็คือพ่อแม่นั่นเอง
นี่คือหนึ่งตัวอย่างด้านลบ ที่เป็นผลของการพัฒนาเศรษฐกิจแบบบริโภคนิยม ที่ให้โอกาสมากมายแก่คนส่วนน้อยนิดของประเทศ จนมีเงินเหลือล้น แล้วเชื่อว่าจะแก้ปัญหาทุกอย่างได้ด้วยเงิน เลี้ยงลูกด้วยความเชื่ออย่างนี้ มีความหลงผิดว่า การให้ลูกทำอะไรได้ก่อนวัยอันควรเป็นสิ่งที่น่าภาคภูมิใจ การขับรถบนถนนหลวงต้องมีวุฒิภาวะเพียงพอ มีความรู้สึกรับผิดชอบ ไม่เหมือนการให้ลูกหัดเล่นกีฬาบางอย่างก่อนวัยอันควร คุณเช่าสนามเป็นส่วนตัวได้ แต่การให้เด็กที่ยังขาดวุฒิภาวะ ขับรถบนถนนหลวงนั้น มีชีวิตของผู้อื่นเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย นอกเหนือไปจากการสอนขับกันแบบไม่มีหลักเกณฑ์ เอาแค่พอให้พารถแล่นไปได้ หยุดได้ เลี้ยวได้ เข้าจอดพอได้ แต่ต้องให้คนอื่นรอเป็นแถวยาว มีอาชีพ และหน้าที่การงานมากมาย ที่ไม่ใช่ว่าใครๆ ก็ทำได้ ต้องใช้ความรู้ ทักษะ หรือไม่ก็สติปัญญาในระดับหนึ่งขึ้นไป แต่ในชีวิตของผม ยังไม่เคยเห็นใครสติปัญญาไม่พอ ในการขับรถให้ “ได้” พูดภาษาชาวบ้านก็คือ ยังไม่เคยเห็นใครโง่จนขับรถไม่ได้แม้แต่คนเดียว แต่ถ้าจะขับรถให้ถูกต้องปลอดภัยตามมาตรฐานได้นั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง
เราอาจเคยได้อ่านข่าวในประเทศพัฒนาแล้ว ที่เขามีกฎหมายที่ทุกคนต้องปฏิบัติตามโดยไม่มีข้อยกเว้น ว่ามีบางคนที่สอบใบขับขี่เป็น 10 ปี หรือหลาย 10 ครั้งกว่าจะสำเร็จ เรื่องทำนองนี้จะไม่มีวันเกิดขึ้นในประเทศที่ซื้อใบขับขี่กันได้เสมอ หรือถ้าคุณ “ใหญ่พอ” ขอฟรีเลยก็ยังได้ เท่าที่ผมทราบ ประเทศในยุโรปส่วนใหญ่จะใช้ความถูกต้องตามกฎหมายเป็นเครื่องตัดสิน ว่าบริษัทประกันภัยจะต้องรับผิดชอบในการชดใช้ค่าเสียหายหรือไม่ ซึ่งคนของเขาก็เกรงกลัวกันมาก แต่วิธีนี้จะไม่มีวันได้ผลในประเทศไทย ที่ขนาดชนกันแล้วยังสามารถเลือกได้ว่า จะแจ้งว่าใครเป็นผู้ขับจึงจะดี ตราบใดที่ยังมีค่านิยมว่ามีเงินล้นเหลือแล้ว อยู่เหนือกฎหมายได้แทบทุกเรื่องแล้วละก็ คงหวังอะไรได้ยากครับ สำนึกด้านความถูกต้องดีงาม คือ สิ่งที่สังคมไทยต้องการอย่างยิ่งยวดในขณะนี้
สิ่งกีดขวางบนผิวถนน จำเป็นแค่ไหน ?
ใครเป็นผู้ขับรถที่ช่างสังเกต จะต้องรู้สึกเหมือนผมแน่นอน ว่ามีการสร้างเครื่องกีดขวางที่ผิวถนนเพิ่มมากขึ้นทุกที รู้จักกันในชื่อว่า SPEED BUMPS หรือที่เรียกกันในภาษาไทย ด้วยชื่อประเภทของสัตว์ ตามรูปทรงของมันว่า “หลังเต่า” หรือ “ตัวหนอน” มันคือ สิ่งกีดขวางบนผิวถนน ที่มีไว้เพื่อให้รถที่จะแล่นทับมัน ต้องลดความเร็ว โดยมีความคาดหวังว่า ผู้ขับจะกลัวช่วงล่างของรถชำรุด หรือสึกหรอเกินระดับปกติ หากไม่ลดความเร็ว กับหวังว่าแม้ผู้ขับไม่กังวลกับสิ่งเหล่านี้ ก็ยังอาจจะลดความเร็วลงเพราะไม่ต้องการให้ตัวรถกระดอนขึ้น หรือถูกรบกวนจากความไม่เรียบของผิวถนนนั่นเอง
สรุปอย่างง่ายๆ ก็คือ มันเป็นสิ่งที่มีไว้บังคับให้ผู้ขับรถลดความเร็วลงเพื่อความปลอดภัยเมื่อป้ายกำหนดความเร็ว และ/หรือสภาพแวดล้อม ไม่สามารถทำให้บรรดาผู้ขับที่ขาดสำนึกด้านความปลอดภัย ลดความเร็วลงสู่ระดับที่เหมาะสมได้ เพราะฉะนั้นในประเทศที่ผู้ใช้รถมีการศึกษาดี ผ่านโรงเรียนสอนขับรถยนต์มาตรฐานที่รัฐรับรองมา จึงไม่ค่อยจำเป็นต้องใช้มัน และถ้ายังมีคนที่ขาดสำนึกด้านความปลอดภัยดันทุรังขับเร็ว พวกเขาก็จะถูกประนามต่อว่าโดยผู้คนที่อยู่บริเวณนั้น
แต่ในประเทศไทยเรา ที่ประชาชนมีอิสระเสรีกันจนลืมกฎเกณฑ์ และความถูกต้อง สิ่งนี้ก็เลยกลายเป็นสิ่งจำเป็น และมีประโยชน์ แต่มีข้อแม้ว่า มันจะต้องถูกติดตั้งโดยความเห็นชอบของหน่วยงานที่รับผิดชอบ ในจุดที่ถูกผู้อยู่อาศัยร้องเรียน หรือจุดที่เกิดอุบัติเหตุบ่อยครั้งผิดปกติ เพราะการใช้ความเร็วสูงเกินระดับที่เหมาะสม แต่ทุกวันนี้มีการติดตั้งเจ้าสิ่งกีดขวางขึ้นบนผิวถนนกันอย่างพร่ำเพรื่อ และอย่างไม่เป็นทางการด้วย คือ ใครอยากมีมันอยู่หน้าบ้าน หรือหน้าสำนักงาน หรือที่ใดก็ตาม ก็ลงทุนเพียงแค่ซื้อปูนซีเมนต์กับทรายมา หรือไม่ก็ยางมะตอยคลุกกับหิน จ้างช่างก่อสร้าง หรือเจ้าหน้าที่แบบนอกระบบมาจัดการให้ โดยไม่มีความรู้ความเข้าใจ เริ่มตั้งแต่ความสูง ที่บางแห่งสูงจนครูดชิ้นส่วนท้องรถ หรือรูปทรงที่เป็นเหลี่ยม จนรถที่จะข้ามมันต้องเบรคจนเกือบหยุดสนิท หรือระยะที่ถูกเลือกใกล้กันโดยกรรมกรติดตั้งที่ไม่เคยขับรถ สร้างความลำบาก และรำคาญให้แก่ผู้ใช้รถอย่างพวกเราเป็นอย่างมาก เท่าที่ผมสังเกตดู มีหลายแห่งถูกรื้อถอนทิ้งไป น่าจะมาจากการร้องเรียนของผู้ใช้รถที่มีเหตุผล เพราะมันให้โทษหลายอย่าง ถ้าอยู่ในที่ที่ไม่จำเป็น และถูกติดตั้งโดยพลการ ขาดความรู้ความเข้าใจทางการจราจร
ข้อแรก มันสร้างความรำคาญ และภาระแก่ผู้ขับรถ โดยไม่จำเป็น ข้อสอง ถ้ารูปทรงของมันสร้างแรงกระแทกเกินควรต่อระบบรองรับของรถเรา ก็ทำให้ทั้งสึกหรอ และไม่สบายจากความกระทบกระเทือนขณะล้อข้ามมันด้วย ข้อสาม ในยุคเชื้อเพลิงราคาแพงเช่นทุกวันนี้ การมีเครื่องกีดขวางให้รถต้องลดความเร็ว และเร่งใหม่ ทำให้สิ้นเปลืองเชื้อเพลิงขึ้นอีกมาก ข้อสี่ การที่เราต้องเบรคโดยไม่จำเป็น ทำให้ผ้าเบรคสึกเร็วขึ้นอีกมาก โดยเฉพาะรถเก๋งของคนไทยเราที่ถือความสบายเป็นหลัก เลยใช้แต่เกียร์อัตโนมัติ จึงไม่มีการช่วยเบรคจากแรงเสียดทานของเครื่องยนต์
ข้อห้า ยามค่ำคืนที่ไฟส่องถนนก็ไม่เพียงพออยู่แล้ว แล้วยังมีเจ้าสิ่งกีดขวางที่ว่านี้ มาพาดรอบนผิวถนนเสมือนกับดัก ก็อาจจะทำให้เราต้องเบรคอย่างแรง และถ้ามีรถตามหลัง ซึ่งก็ขับจี้ท้ายใกล้กันเกินควรเกือบทุกคันอยู่แล้ว ก็ต้องมีการชนท้ายกันให้เดือดร้อนอย่างแน่นอน หรือถ้ามองไม่เห็นจริงๆ หรือเบรคไม่ทัน แล้วเจอแบบทั้งสูงทั้งคมเป็นบั้ง ช่วงล่างของรถเราก็คงมีปัญหาแน่นอน