ตลาดรถพรีเมียมปีนี้ แข่งขันกันดุเดือด “ฟอร์มูลา” สัมภาษณ์พิเศษ มาร์ทิน ชเวงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด
ฟอร์มูลา : สถานการณ์ของอุตสาหกรรมยานยนต์ปี 2567 จะเป็นอย่างไร ?
มาร์ทิน : อุตสาหกรรมรถยนต์ในปี 2567 เทียบกับปี 2566 มีปัจจัยที่ส่งผลต่อการแปรผันของอุตสาหกรรมรถยนต์โดยรวมไม่ต่างกัน โดยปัจจัยดังกล่าว คือ สงคราม สภาพเศรษฐกิจ การเมืองทั้งในไทย และต่างประเทศ ตัวแปรสำคัญ คือ การมาของรถยนต์ไฟฟ้า
อีกเรื่องหนึ่ง คือ ขณะนี้คนพึ่งพาเรื่องของดิจิทอลเพิ่มมากขึ้น ที่ผ่านมา MERCEDES-BENZ (เมร์เซเดส-เบนซ์) เน้นหลักลูกค้าเป็นศูนย์กลาง หรือ CUSTOMER CENTRIC มาอย่างต่อเนื่อง ดังนั้น การขยายช่องทางให้ลูกค้าได้ทำความรู้จักสินค้าผ่านสื่อดิจิทอลจึงเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้เขารู้ข้อมูลก่อนมาที่โชว์รูม เป็นเหตุให้ MERCEDES-BENZ พัฒนาพโรแกรมการขายรูปแบบใหม่ “RETAIL OF THE FUTURE” ที่มองความต้องการของลูกค้าเป็นหลัก ลูกค้าจะได้รับทราบข้อมูลเท่าเทียมกัน ไม่ว่าจะเดินทางไปที่โชว์รูม หรือดูจากเวบไซท์ พร้อมได้ประสบการณ์แบบลักชัวรีเท่าเทียมกัน
ฟอร์มูลา : MERCEDES-BENZ ประสบความสำเร็จมากน้อยเพียงใดในประเทศไทย ?
มาร์ทิน : MERCEDES-BENZ มีประวัติอันยาวนาน โดยเป็นรถคันแรกของโลก เป็นรถที่บุคคลสำคัญเลือกใช้ สำหรับประเทศไทยก็ได้รับความนิยมมายาวนาน เมื่อวันที่ 25 มกราคม 2567 MERCEDES-BENZ ได้ฉลองรถยนต์คันที่ 200,000 ออกมาจากสายการผลิตในประเทศไทย เป็นรถรุ่น “EQS 500 4MATIC AMG PREMIUM” (อีคิวเอส 500 4เมทิค เอเอมจี พรีเมียม) รถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100 % รุ่นแรกในตลาดรถยนต์ลักชัวรีที่มีการผลิตแบทเตอรี และประกอบในประเทศไทย
ขณะนี้ผู้แทนจำหน่ายที่อยู่กับเรามาอย่างต่อเนื่องถึง 22 ราย ขยายสาขาให้บริการถึง 33 แห่ง และมีศูนย์บริการครอบคลุมทั่วประเทศถึง 44 แห่ง แสดงให้เห็นว่า ตัวแทนจำหน่ายมีส่วนช่วยสร้างความสำเร็จให้เรา
นอกจากการผลิตเพื่อรองรับตลาดรถยนต์ในประเทศ บริษัทฯ ยังได้ขยายตลาดส่งออกไปยังประเทศเวียดนาม ภายใต้ข้อตกลงเขตการค้าเสรีอาเซียน ซึ่งที่ผ่านมาเราเน้นแนวคิดการผลิตแบบ CKD (COMPLETELY KNOCKED DOWN) เพื่อให้มีความยืดหยุ่นในการปรับตัวเข้ากับความต้องการของตลาด โดยมีรถยนต์ 14 รุ่นที่ถูกผลิตขึ้นในโรงงาน MERCEDES-BENZ ได้แก่ A-CLASS (เอ-คลาสส์), C-CLASS (ซี-คลาสส์), E-CLASS (อี-คลาสส์), S-CLASS (เอส-คลาสส์), GLA (จีแอลเอ), GLC (จีแอลซี), GLE (จีแอลอี), GLS (จีแอลเอส), C-COUPE (ซี-คูเป), GLC-COUPE (จีแอลซี-คูเป), CLS (ซีแอลเอส), MAYBACH (มายบัค), S-CLASS (เอสคลาสส์), และ EQS (อีคิวเอส) นอกจากนี้ MERCEDES-BENZ ยังเป็นผู้บุกเบิกการผลิตรถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100 % ด้วยการเปิดตัว EQS 500 4MATIC AMG PREMIUM เมื่อปี 2565 ตอกย้ำเป้าหมายด้านความยั่งยืน การนำเสนอเทคโนโลยี และนวัตกรรมที่ล้ำสมัย เพื่อยกระดับอุตสาหกรรมยานยนต์ในประเทศไทย
ฟอร์มูลา : คุณวางนโยบาย และทิศทางการตลาดไว้อย่างไรบ้าง ?
มาร์ทิน : MERCEDES-BENZ วางแผนงานไว้ 3 ส่วน คือ 1. สินค้า 2. การขยายผลิตภัณฑ์รถยนต์ไฟฟ้า และ 3. การดูแลลูกค้าให้ได้รับประสบการณ์ที่ดี
1. MERCEDES-BENZ มีโรงงานประกอบในประเทศไทย ผลิตรถกว่า 10 รุ่น และมีรถยนต์จำหน่ายมากกว่า 25 รุ่น โดยบริษัทฯ มีแผนจะผลิตรถยนต์ในประเทศไทยมากขึ้น
2. ขยายพอร์ทรถยนต์ไฟฟ้าเพิ่มขึ้น โดย MERCEDES-BENZ เริ่มด้วยการนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้า และขยายสู่การประกอบ รวมถึงขยายรุ่นใหม่ ทั้งนำเข้า และผลิตในประเทศ
3. การดูแลลูกค้า “RETAIL OF THE FUTURE” เป็นแนวคิดที่เกิดขึ้นจากนโยบายของบริษัทแม่ ซึ่งนอกจากประเทศไทย มีอีก 10 ประเทศที่ได้ดำเนินการแล้ว โดยประเทศไทยเป็นประเทศที่ 11 ถือเป็นกลยุทธ์ค้าปลีกของ MERCEDES-BENZ ที่นำเสนอวิธีการซื้อรถรูปแบบใหม่ มุ่งมั่นตอบสนองความต้องการของลูกค้า และปรับเปลี่ยนโมเดลธุรกิจเพื่อรองรับพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป ในขณะที่ยังส่งมอบประสบการณ์ที่เหนือระดับให้แก่ลูกค้าทุกคนเช่นเคย พร้อมยกระดับให้มากขึ้นด้วยการลดความเหลื่อมล้ำด้านราคา ทำให้ลูกค้าไม่จำเป็นต้องต่อรองราคา หรือเสียเวลาค้นหาราคา และข้อเสนอที่ดีที่สุด ด้วยการกำหนดนโยบาย “ONE PRICE” ราคาเดียวกันทั่วประเทศ ที่จะทำให้ลูกค้าทุกคนได้รับสิ่งที่ดีที่สุดจาก MERCEDES-BENZ
ฟอร์มูลา : คุณมีแผนสร้างความมั่นใจให้แก่ผู้บริโภคอย่างไร ?
มาร์ทิน : “RETAIL OF THE FUTURE” ลูกค้าจะได้รับความโปร่งใส ไม่ถูกเอาเปรียบ เมื่อซื้อรถกับ MERCEDES-BENZ ไม่ว่าจะนานเท่าไรก็จะได้รับบริการหลังการขายอย่างต่อเนื่อง สามารถหาชิ้นส่วน อะไหล่ ได้ตลอด
ฟอร์มูลา : กลยุทธ์ที่ใช้ในการแข่งขัน ?
มาร์ทิน : MERCEDES-BENZ มีผลิตภัณฑ์ที่ตอบสนองความต้องการของลูกค้าตั้งแต่วัยรุ่นจึงถึงวัยผู้ใหญ่ และไม่ใช่เฉพาะผลิตภัณฑ์เท่านั้น ถ้าพูดถึงเทคโนโลยี เราคือผู้นำ อะไรที่เป็นครั้งแรกของโลก เราจะเป็นผู้นำเสมอ และที่สำคัญ เรายังมี “RETAIL OF THE FUTURE” ที่ทำให้ MERCEDES-BENZ เสนอสินค้าที่ดีที่สุด ในราคาที่ดีที่สุดให้แก่ลูกค้าอย่างเท่าเทียมกัน และผู้แทนจำหน่าย 33 สาขา ไม่รวมกับออนไลน์ และศูนย์บริการอีก 44 แห่ง ยังเป็นสิ่งที่สร้างความมั่นใจให้ลูกค้าคนไทยที่ซื้อรถในไทย ว่าจะได้รับการดูแลจากเรา ไม่ว่าจะเดินทางไปที่ไหน
ฟอร์มูลา : คุณคิดว่า เมอร์เซเดส-เบนซ์ ประเทศไทย จะต้องมีการปรับปรุง เปลี่ยนแปลงสินค้า และบริการด้านใด ?
มาร์ทิน : “RETAIL OF THE FUTURE” เป็นระบบการขายใหม่ ที่ต้องดู และปรับให้สมบูรณ์ที่สุด เพื่อไม่ให้สะดุด ส่วนการเปลี่ยนแปลงส่วนต่างๆ มีการวางแผนอย่างต่อเนื่อง เห็นได้จากการที่ MERCEDES-BENZ จะมีรถยนต์ไฟฟ้าเพิ่มขึ้น ทั้งที่ผลิตในประเทศ และนำเข้ามาจำหน่าย
ฟอร์มูลา : คุณมีความคิดเห็นอย่างไรเกี่ยวกับอุตสาหกรรมรถยนต์ในประเทศไทย ?
มาร์ทิน : เชื่อว่าอุตสาหกรรมรถยนต์ในประเทศไทยจะเติบโต มีทิศทางที่ดี เพราะไทยเป็นฐานการผลิตรถยนต์ระดับโลก นอกจากนี้ ยังได้รับการสนับสนุนที่ดีจากภาครัฐ รวมถึงหน่วยงานต่างๆ ทำให้ผู้ผลิตมีภาพที่ชัดเจนว่าจะต้องเดินไปแนวไหน