รู้ลึกเรื่องรถ
MARCELLO GANDINI ตำนานนักออกแบบที่จากไป
เมื่อวันที่ 13 มีนาคม 2024 ที่ผ่านมา โลกแห่งการออกแบบรถยนต์ได้สูญเสียบุคคลที่เป็นตำนานไป นั่นคือ MARCELLO GANDINI (มาร์เชลโล กานดินี) วัย 85 ปี 1 ใน 3 อัศวินนักออกแบบของอิตาลี ที่ล้วนถือกำเนิดในปี 1938 โดยอีก 2 ท่านคือ GIORGETTO GIUGIARO (โจร์เกตโต จูจาโร) ผู้ได้รับยกย่องเป็น “นักออกแบบรถยนต์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งศตวรรษที่ 20” กับ LEONARDO FIORAVANTI (เลโอนาร์โด ฟิโอราวันตี) แห่งสำนัก PININFARINA (ปินินฟารีนา) ผู้อยู่เบื้องหลัง FERRARI (แฟร์รารี) อันงดงามหลายต่อหลายรุ่น
สำหรับท่านที่ไม่ได้อยู่ในวงการออกแบบรถยนต์อาจจะไม่คุ้นชื่อของปรมาจารย์ MARCELLO GANDINI แต่ถ้าเอ่ยถึงรถเด่นๆ อย่าง LAMBORGHINI COUNTACH (ลัมโบร์กินี คูนทาช) ซูเพอร์คาร์ทรงลิ่มประตูแบบกรรไกรแล้วละก็ หลายท่านต้องร้องอ๋อ
LAMBORGHINI COUNTACH คือ หนึ่งในผลงานระดับ “มาสเตอร์พีศ” ของ MARCELLO GANDINI นอกจากนี้ ท่านยังอยู่เบื้องหลังความยิ่งใหญ่ของสำนักออกแบบใหญ่ของอิตาลี STILE BERTONE (สตีเล แบร์โตเน) ในยุคทศวรรษที่ 60-80 และได้รับการยอมรับนับถือจากผู้อยู่ในวงการออกแบบรถยนต์ในระดับสูง รวมถึง FLAVIO MANZONI (ฟลาวีโอ มันโซนี) หัวหน้าทีมออกแบบ FERRARI คนปัจจุบัน ที่บอกว่า “บางที GANDINI อาจเป็นนักออกแบบรถยนต์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่โลกเคยมีมา”
MARCELLO GANDINI เกิดในปี 1938 ซึ่งเป็นช่วงแรกของสงครามโลก ครั้งที่ 2 ที่เมืองตูริน หัวใจของอุตสาหกรรมยานยนต์อิตาลี อยู่ทางตอนเหนือของประเทศอิตาลี เนื่องจากเป็นครอบครัวนักดนตรีคลาสสิค ชีวิตในวัยเด็กท่านจึงถูกบ่มเพาะทักษะด้านการเล่นเพียโนจากบิดาที่เป็นนักแต่งเพลง และเป็นผู้อำนวยการเพลงในวงออร์เคสตรา
แต่พอถึงวัย 18 ปี ท่านกลับค้นพบว่า ตัวเองมีความหลงใหลในเรื่องรถยนต์ และวิศวกรรมเครื่องกล ท่านเล่าว่า “ตอนที่ผมอายุ 16 ปี พ่อให้เงินผมไปซื้อตำราภาษาละติน แต่ผมกลับเอาเงินนั้นไปซื้อตำราวิศวกรรมยานยนต์ ที่เขียนโดย DANTE GIACOSA (ดันเต จาโกซา) แทน”
ท่านตัดสินใจลาออกจากสถาบันดนตรีที่ศึกษาอยู่ ซึ่งขัดกับความประสงค์ของบิดา และทำให้ครอบครัวถึงกับตัดขาด แต่ไม่ได้ทำให้ท่านล้มเลิกความตั้งใจ หลังจากใช้เวลาฝึกฝน เรียนรู้ด้านวิศวกรรม และศิลปะต่อไปอีก 8 ปี จนถึงปี 1964 เมื่อเขามีอายุ 26 ปี จึงได้เข้าไปเสนอตัวกับ NUCCIO BERTONE (นุชโช แบร์โตเน) เจ้าสำนักออกแบบรถยนต์ BERTONE และแน่นอนว่าพรสวรรค์ที่ฉายแสงออกมาชัดเจน ทำให้ได้เข้าร่วมงานกับสำนักฯ ซึ่ง ณ ที่แห่งนี้ ท่านได้พบกับบุคคลที่จะเป็นตำนานอีกท่าน คือ GIORGETTO GIUGIARO ที่อายุเท่ากัน แต่มีอาวุโสด้านการทำงานมากกว่า ซึ่งในที่สุด “เสือสองตัวก็อยู่ในถ้ำเดียวกันไม่ได้” เกิดปรากฏการณ์ “เพชรตัดเพชร” โดย GIORGETTO GIUGIARO ลาออกจากสำนักฯ ยกตำแหน่งหัวหน้าทีมออกแบบให้ MARCELLO GANDINI พร้อมรับภารกิจคลี่คลายเส้นสายของรถแนวคิด CORVAIR TESTUDO 2 (คอร์แวร์ เตสตูโด 2) ที่ GIUGIARO ริเริ่มไว้ในปี 1963 ให้กลายมาเป็นรถที่ผลิตเพื่อจำหน่ายถึง 2 รุ่น
เริ่มจากซูเพอร์คาร์คันแรกของโลก LAMBORGHINI MIURA (ลัมโบร์กินี มิอูรา) ขุมพลังแบบ วี 12 สูบ วางขวางกลางลำ ที่ว่ากันว่าท่านใช้เวลาพัฒนางานออกแบบจากเส้นร่าง ไปสู่ตัวโมเดลต้นแบบเพียง 3 เดือนเท่านั้น ก่อนเปิดตัวให้โลกได้เห็นในปี 1966
ส่วนอีกคัน คือ ALFA ROMEO MONTREAL (อัลฟา โรเมโอ มอนทรีอัล) รถที่ค่าย ALFA ROMEO นำไปจัดแสดงใน ITALIAN PAVILLION ของงาน EXPO 67 ที่เมืองมอนทรีอัล ประเทศแคนาดา และนี่คือ จุดกำเนิดของดาวฤกษ์ดวงใหม่แห่งวงการรถยนต์
เพียงไม่กี่ปีหลังจากการเปิดตัวของ LAMBORGHINI MIURA และ ALFA ROMEO MONTREAL ที่มีดีไซจ์นโค้งมน โลกแห่งการออกแบบก็ได้ก้าวเข้าสู่ยุคแห่งการเปลี่ยนแปลง ด้วยการนำเสนอรูปทรงแนวลิ่ม (WEDGE SHAPE) ที่ดูเพรียวลม อันเป็นกระแสการออกแบบที่เกิดจากความต้องการเพิ่มความเร็วให้สูงขึ้น แต่ลดการบริโภคเชื้อเพลิงลง โดย MARCELLO GANDINI ได้รังสรรค์รูปแบบของรถทรงลิ่มขึ้นในปี 1968 นั่นคือ รถแนวคิด ALFA ROMEO CARABO (อัลฟา โรเมโอ คาราโบ) สปอร์ททรงลิ่มประตูแบบกรรไกร ที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากปีกของแมลง โดยชื่อ CARABO ในภาษาอิตาเลียน แปลว่า “แมลงทับ” ซึ่งสีเขียวแวววาวของรถคือ สีของแมลงทับ นั่นเอง
ผลงานต่อมาในสไตล์รถทรงลิ่ม คือ รถแนวคิด AUTOBIANCHI A112 RUNABOUT 1969 (เอาโตบีอันกี เอ 112 รันอเบาท์ 1969) ซึ่งกาลต่อมาจะได้ถูกนำไปพัฒนาเป็นรถสปอร์ทเครื่องวางกลางลำ FIAT X1/9 (เฟียต เอกซ์ 1/9) ในปี 1972
แน่นอนว่า รูปทรงลิ่มของรถแนวคิดเหล่านี้ มีหน้าที่หลัก คือ สร้างแรงบันดาลใจ เพราะมันไม่ได้ถูกออกแบบมาให้มีราคาถูก หรือมีมาตรฐานความปลอดภัยเพิ่มขึ้น แต่กระแสถูกจุดติดขึ้นมา เพราะโลกได้เห็นการมาถึงของรถทรงเหลี่ยมลิ่มอีกมากมายจากฝีมือของ MARCELLO GANDINI และนักออกแบบร่วมสมัยจากอิตาลีคนอื่นๆ แต่รถที่นำเอาทรงลิ่มมาเล่นแบบ “สุดลิ่มทิ่มประตู” คือ LANCIA STRATOS ZERO (ลันชา สตราโตส เซโร) ผลงานของท่าน ในปี 1970 อันเป็นรถที่ไม่มีทางที่จะเป็นทรงลิ่มไปได้มากกว่านี้อีกแล้ว ด้วยการออกแบบให้ประตูที่เปิดเข้าห้องโดยสาร คือ กระจกบังลมหน้าของรถ !
ช่วงเวลาที่อยู่กับสำนักออกแบบ BERTONE ในทศวรรษที่ 70 ท่านได้สร้างสรรค์รถแนวคิดทรงลิ่มที่น่าตื่นตาตื่นใจไว้มากมาย และหลายคันสามารถหลุดออกมาเป็นพโรดัคชันคาร์ได้อย่างน่าทึ่ง หนึ่งในนั้น คือ LAMBORGHINI COUNTACH ปี 1974 ซูเพอร์คาร์ทรงเหลี่ยมลิ่มประตูแบบกรรไกร ที่สืบทอดจิตวิญญาณมาจาก ALFA ROMEO CARABO ที่เคยสร้างสรรค์ไว้ คำว่า “COUNTACH” ในภาษาถิ่นอิตาเลียนตอนเหนือ แปลว่า “แม่เจ้าโว้ย” หรือ PIETMONTESE ซึ่งแน่นอนว่า วัยรุ่นยุค 70-90 ที่หลงใหลในยนตรกรรม จะต้องมีภาพโพสเตอร์ LAMBORGHINI COUNTACH ประดับฝาห้องนอน
แม้คนมักจะมีภาพจำว่า MARCELLO GANDINI ออกแบบเฉพาะซูเพอร์คาร์ อาทิ LAMBORGHINI DIABLO (ลัมโบร์กินี ดิอาบโล) หรือ CIZETA MORODER V16T (ซิเซตา โมโรเดอร์ วี 16 ที) แต่ในความจริง ท่านได้ฝากผลงานรถที่เราสามารถเป็นเจ้าของได้มากมายหลายรุ่น อาทิ รถเก๋งครอบครัว FIAT 132 (เฟียต 132) รถครอบครัวขนาดเล็ก AUDI 50 (เอาดี 50) รวมถึงการออกแบบรถแนวคิด BMW 2200 TI GARMISCH (บีเอมดับเบิลยู 2200 ทีไอ การ์มิช) ที่ต่อมาได้ถูกขัดเกลาร่วมกับ PAUL BRACQ (ปอล บรัคค์) ดีไซจ์เนอร์ของ BMW จนกลายมาเป็น BMW 5 SERIES (บีเอมดับเบิลยู ซีรีส์ 5) รหัสตัวถัง E12 ในภายหลัง
และที่จะลืมไม่ได้อีกรุ่น คือ รถสัญชาติอิตาเลียนที่มีเส้นสายเหลี่ยมคม แต่กลมกล่อม นั่นคือ MASERATI (มาเซราตี) ตระกูล ไบเทอร์โบ ตามด้วย สปอร์ทคูเป ทรงดุดันกล้ามใหญ่ MASERATI SHAMAL (มาเซราตี ชาร์มาล) ปี 1990 และ MASERATI GHIBLI (มาเซราตี กีบลี) เจเนอเรชันที่ 2 รหัสตัวถัง AM336 ปี 1992 จนมาจบที่ซีดานหรู MASERATI QUATTROPORTE (มาเซราตี กวัตตโรโปร์เต) เจเนอเรชันที่ 4 ปี 1994 อันเป็นบทพิสูจน์ว่า เส้นสายที่เรียบง่ายไม่กี่เส้น ถ้าผ่านมือ MARCELLO GANDINI มันจะสวยท้าทายกาลเวลาได้อย่างน่าอัศจรรย์
สำหรับรถแบบพโรดัคชันราคาย่อมเยา ที่มีความเป็น MARCELLO GANDINI ที่สุด น่าจะหนีไม่พ้น รถครอบครัวจากฝรั่งเศส CITROEN BX (ซีตรอง บีเอกซ์) ปี 1982 ซึ่งต่อยอดมาจากรถแนวคิด VOLVO TUNDRA (โวลโว ตุนดรา) และถูกนำเสนอสู่สาธารณชน ในปี 1979
ในอดีตนั้น สำนักออกแบบต่างๆ จะนำเสนอแนวคิดใหม่ๆ สู่สาธารณชน ถ้าใครสนใจแนวทางก็สามารถนำไปพัฒนาต่อได้ และ CITROEN BX ก็เป็นรถที่มีรูปร่างสุดล้ำ และขายดีมาก โดยมียอดจำหน่ายรวมถึง 2.3 ล้านคัน ตลอดช่วงเวลา 12 ปีในการทำตลาด
เมื่อก้าวเข้าสู่ยุคทศวรรษที่ 90 แนวทางของเส้นสายสไตล์เหลี่ยมทรงลิ่ม เริ่มเสื่อมมนต์ขลัง ผลงานในช่วงท้ายๆ ของ MARCELLO GANDINI ก็เริ่มลดความคมของเส้นลง อาทิ รถแนวคิด NISSAN AP-X (นิสสัน เอพี-เอกซ์) ปี 1993 โดยจุดที่เป็นเส้นสายลายเซ็นของท่านชัดเจนที่สุด คือ ซุ้มล้อหลังทรงเหลี่ยมที่ปาดเฉียงขึ้น สไตล์เดียวกับ LAMBORGHINI COUNTACH นอกจากนี้ ผลงานก่อนเกษียณอายุ อาทิ รถแนวคิด STOLA S 81 (สโตลา เอส 81) ปี 2000 ก็ยังดูสดใหม่ท้าทายอยู่เสมอ แม้จะผ่านไปกว่า 20 ปีแล้วก็ตาม
คติประจำใจของ MARCELLO GANDINI คือ “เราต้องไล่ตามความฝัน และทำให้เป็นจริง” คตินี้ท่านได้ทำให้เห็นชัดเจน ตั้งแต่ตอนที่ตัดสินใจลาออกจากโรงเรียนดนตรี พร้อมจะถูกตัดพ่อตัดลูก เพื่อทำในสิ่งที่รัก นั่นคือ การออกแบบรถยนต์ และแม้จะเป็นนักออกแบบที่ยิ่งใหญ่ แต่ก็มีความถ่อมตัว และให้ความเคารพบรรดาแรงงานในโรงงานผลิตเสมอ โดยท่านเคยบอกว่า “คุณควรจะเดินลงไปเรียนรู้จากช่าง เพราะพวกเขามีอะไรที่จะสอนคุณอีกมาก”
ผลงานของ MARCELLO GANDINI จะทำให้ชื่อของท่านเป็นตำนานอมตะในหัวใจของคนรักรถไปไม่มีวันลืมเลือน ดังที่ สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส ได้ทรงพระนิพนธ์ไว้ใน กฤษณาสอนน้องคำฉันท์ว่า
“พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง
โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี
นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์
สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา”