ชีวิตคือความรื่นรมย์
เรื่อง เล่นกับภาษา (ยันต์ - ยัญ)
ถึงแม้ว่าความเป็นลูกชาวนาจนๆ บ้านอยู่ไกลปืนเที่ยงแถมยังเป็นกำพร้า ทำให้ไม่โอกาสได้เรียนสูงมากกว่าปริญญาตรี
แต่การได้เรียนในคณะที่ตนคิดว่า "ใช่" และเป็นมหาวิทยาลัยที่เก่าแก่ที่สุดของประเทศ มีชื่อเสียงมากที่สุด หนึ่งในไม่กี่แห่งของประเทศในช่วงปลายพุทธศตวรรษ 24 ก็นับว่าตนเองโชคดีมากกว่าคนในประเทศนี้อีกมากมายที่โอกาสไม่อำนวยให้เขาได้เป็นและได้ทำ
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การที่ได้เรียนในคณะที่สอนวิชาเกี่ยวกับการใช้ภาษาทำให้ได้รับความรู้จากครูบาอาจารย์ชั้นเยี่ยมของประเทศ ได้พบเพื่อนฝูงที่รักในสิ่งคล้ายๆ กัน เช่นการใช้ภาษาและการเขียนหนังสือ ก็ถือว่า เป็นชีวิตที่เหนือความคาดหวังแล้ว
ผู้เขียนจึงรู้สึกว่า ชีวิตนี้มีความรื่นรมย์ไม่น้อยทีเดียว เมื่อได้คุยกันเรื่อง "ภาษา"
โดยเฉพาะ "ภาษาไทย" ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชดำรัสย้ำอยู่บ่อยๆ เช่นว่า
"เรามีโชคดีที่มีภาษาของตนเองแต่โบราณกาล จึงสมควรอย่างยิ่งที่จะรักษาไว้" (พระราชดำรัสในการประชุมวิชาการของชุมนุมภาษาไทย คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 29 กรกฎาคม 2505)
และอีกตอนหนึ่ง ซึ่งผู้เขียนกราบรำลึกอยู่เสมอ
"ภาษาไทยเป็นสิ่งสำคัญสำหรับบ้านเมือง ขอให้ร่วมมือช่วยกันรักษามาตรฐานของภาษาไทยไว้ อย่าให้ทรุดโทรม" (พระราชดำรัสแก่ชุมนุมภาษาไทย ฯ และผู้ได้รับพระราชทานรางวัลการออกเสียงภาษาไทย พุทธศักราช 2504)
เมื่อมีคนใช้ภาษาไทยในทำนองที่จะทำให้ภาษาเบี่ยงเบนไปจากความหมายดั้งเดิม จึงมีความรู้สึกว่า เป็นหน้าที่ของเราที่เป็นคนไทย ควรช่วยกันทำอย่างไรก็ได้ให้คนที่ใช้ภาษาไทยผิดๆ ไปนั้นได้เข้าใจถูกต้อง ซึ่งมิได้หมายความว่า คนเหล่านั้นเจตนาจะทำลายภาษาไทย หากแต่ควรช่วยกันชี้แนะแนวทางที่ถูกต้องให้ ซึ่งเป็นการช่วยกัน "อนุรักษ์" และ "ส่งเสริม" การใช้ภาษาไทยที่ดีอีกทางหนึ่ง
มีการใช้ภาษาไทยอีกประเภทหนึ่งที่เพื่อนๆ ของผู้เขียนช่วยกันบอกกล่าวเข้ามาว่า ปัจจุบันมีคนใช้กันแปลกไปจากความเป็นมาดั้งเดิม
ยกตัวอย่างเช่น หนังสือพิมพ์ใหม่ฉบับหนึ่งของค่าย "บางนา" ชอบเขียนว่า "บูชายันต์" กันเป็นประจำ เพื่อนของผู้เขียนก็จะโทรศัพท์ว่า ให้ช่วยเขียนลงหนังสือพิมพ์ให้หน่อยว่า เขาใช้ไม่ถูกต้อง ซึ่งผู้เขียนก็เห็นด้วยว่าคำดั้งเดิมของเราคือ "บูชายัญ"
ด้วยว่า "ยันต์" นั้น พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน ให้ความหมายว่า "ยันต์ - น., รูปต่างๆ เขียนลงบนแผ่นโลหะหรือผ้า เป็นต้น และลงอักขระหรือเลข ใช้เป็นของขลัง โดยปริยาย หมายถึง สิ่งที่มีลายเช่นนั้น เช่น เสื้อยันต์"
คำอธิบายนี้ชัดเจน เพราะคนไทยก็มีการลงเลขลงยันต์กันเสมอ ไม่บนแผ่นผ้า-แผ่นโลหะ ก็บนแผ่นกระดาษ หรือแม้แต่สักบนหน้าอก หรือแผ่นหลัง เพื่อเป็น "สิริมงคล" เพื่อ "ป้องกัน" สิ่งไม่ดี ไม่งาม หรือแม้กระทั่งความเชื่อว่าจะ "คงทน" เช่นที่เรียกกันว่า "ยังฟันไม่เข้า" คือยิงด้วยปืน หรืออาวุธ เช่น หน้าไม้ หรือธนู หรือฟันด้วยมีดพร้าก็ไม่เข้า (ไม่ใช่ "ยิงฟัน" ที่เป็นคำกริยาว่า "เปิดปากให้เห็นฟัน เช่น แยกเขี้ยวยิงฟัน") ลายหรืออักขระที่เขียนหรือสลักนั้น เราจะเรียกว่า ยันต์ มักเป็นภาษาขอมหรือบาลีสันสกฤต
ส่วนคำว่า "ยัญ" นั้นแม้จะมีที่มาคล้ายกันคือ มาจากภาษาบาลีสันสกฤต (บาลีว่า "ยัญ, ยัญญะ" สันสกฤตว่า "ยัชญ" ซึ่งไทยเรานิยมใช้แบบบาลีมากกว่า)
"ยัญ" นั้น ความหมายที่ไทยนำใช้คือ "การเซ่น, การบูชา, การบวงสรวงชนิดหนึ่งของพราหมณ์" ซึ่งคนไทยไม่นิยมมากนัก แต่ก็มีในพิธีสำคัญๆ บางอย่าง
ในวรรณคดีไทยที่คนไทยรู้จักกันดีมากคือ การรำบูชาไฟของนางมโนราห์ ในเรื่องมโนราห์ (บางครั้งบางตำราก็เขียนให้เราสับสนเป็นมโนห์ราก็มี ทางภาคใต้เรียกสั้นๆ ว่า โนรา) ตามเรื่องในวรรณคดีว่า มโนราห์ เป็นคนครึ่งนกที่เรียกเป็นศัพท์ว่า "กินนร" ถ้าเป็นเพศหญิง เรียกว่า "กินนรี" (มาจากคำเดิมในภาษาบาลีว่า กิ + นร = กิน + นร = กินนร, กินนรี = กินรี, ตามหลักการเขียนคำไทยที่มาจากภาษาบาลี-สันสกฤต)
โดยรากคำ "กิ" แปลว่า "อะไร" ส่วน "นร" แปลว่า "คน" "กินร" หรือกินนร จึงหมายถึง "อมนุษย์" ซึ่งมีสองประเภทคือ ประเภทครึ่งบนเป็นคนครึ่งล่วงเป็นนก กับอีกประเภทหนึ่งรูปร่างเหมือนคน แต่จะไปไหนมาไหนก็ใส่ปีกใส่นางบินไปอย่างนางมโนราห์ในเรื่อง พระสุธน-มโนราห์
เมื่อนางมโนราห์ถูกมนุษย์คือ พรานบุญจับมาถวายพระสุธนนั้น เขาได้ถอดปีกหางนางออกเพื่อมิให้เธอบินหนีไป ครั้นพระสุธนถูกหลอกให้ออกไปรบ เขาจะนำนางไปบูชาไฟโดยอ้างว่า เป็นกาลกิณีต่อบ้านเมือง นางได้ออกอุบายว่า ถ้าจะให้นางรำบูชา(ยัญ) นางก็ขอสวมปีกหางให้ครบ จะได้รำได้เต็มที่ แล้วนางก็ถือโอกาสบินหนีไปเลย
บทรำของมโนราห์ตอนบูชายัญนี้ ครูนาฏศิลป์ไทยอย่างท่านผู้หญิงแผ้ว สนิทวงศ์เสนี-ผู้เชี่ยวชาญนาฏศิลป์ไทย-ศิลปินแห่งชาติปี 2528 ได้คิดประดิษฐ์ท่ารำที่งดงามยอดเยี่ยมขึ้นมาไว้เป็นมรดกทางวัฒนธรรมของชาติ คนที่มีฝีมือยอดเยี่ยมเท่านั้นจึงจะร่ายรำได้ "ถึง" คนที่ฝีมือรำพองูๆ ปลาๆ รำแล้วจะรู้สึกขัดๆ
ไม่ได้อารมณ์สำหรับคนดู
เพราะเรื่องการรำบูชายัญของนางมโนราห์นี้โด่งดัง ในวรรณคดี ในละครในนาฏศิลป์และดนตรีไทยอย่างมาก ทำให้คนเข้าใจว่า รำบูชายัญ ก็คือ รำบูชาไฟ โดยเข้าใจไขว้เขวไปว่า "ยัญ" แปลว่า "ไฟ" ซึ่งความจริงเป็นการเข้าใจผิดในแง่ความหมายทางภาษา เพียงแต่การบูชาครั้งโด่งดังนี้เป็นการบูชาไฟคนจึงพลอยไขว้เขวไป
ขอจบท้ายเรื่องคำว่า "ยันต์ - ยัญ" ด้วยบทกลอนที่บรรยายการร่ายรำของมโนราห์ ซึ่งอาจารย์มนตรี ตราโมท ผู้เชี่ยวชาญดนตรีไทยของกรมศิลปากร ศิลปินแห่งชาติปี ๒๕๒๘ ได้ประพันธ์บทพร้อมประพันธ์ทำนองเพลงไทยสำหรับนาฏศิลป์ ตอนนี้ไว้อย่างไพเราะงดงามดังนี้
ขอประณมบังคมบาท พระจอมราชนฤบดี
บังคมคัลวันทนีย์ บาทธุลีพระมารดา
ลูกนี้มีกรรม จำต้องกราบทูลลา
จากพระบาทมูลิกา ทั้งสององค์พระทรงธรรม์
ฝากลาพระสามี ยอดฤดีคู่ชีวัน
เมื่อพระกลับจากโรมรัน มิพบข้าจะอาดูร
ครั้งนี้ไม่มีกลับ ขอลาลับดับสูญ
หมดโอกาสจะกอบกูล กรณีถวายไท้
สิ่งใดได้ประมาท โปรดพระราชทานอภัย
ขอพลีชีวิตบรรลัย ก่อพิธีบูชายัญ *
เรื่องโดย : ประยอม ซองทอง
ภาพโดย : -
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน พฤศจิกายน ปี 2545
คอลัมน์ Online : ชีวิตคือความรื่นรมย์
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/51393