มาตรวัดตลาดรถ
แอร์ประหยัด
ฝนมาฟ้าฉ่ำแล้วนะครับ เข้าหน้าฝนกันอย่างจริงจังเสียที หลังจากเล่นเอาเถิดกันมานาน แต่ไม่ว่าจะฝนหรือร้อน หรือร้อนกว่า ประชากรรถยนต์ในเมืองไทยก็เพิ่มอย่างรวดเร็ว เดือนที่ผ่านมาเดือนเดียว เพิ่มขึ้นไปถึง 24.6 % ขายได้ 51,315 คัน
แม้ว่าราคาน้ำมันเบนซิน จะเพิ่มกันแบบเห็นจะจะ ก็ดูไม่ค่อยรู้สึกกันเท่าไร ข้าวปลาอาหารบางร้านก็เริ่มจะเพิ่มนำหน้าไปก่อนแล้วด้วย จาก 20 เป็น 25 หรือจาก 25 ไปเป็น 30 บาท เพิ่มกันแบบเงียบๆ ไม่กระโตกกระตาก แต่ดัชนีที่วัดค่าครองชีพกลับเพิ่มตัวเลขขึ้นมานิดเดียว
ก็ยังดีที่ราคาน้ำมันดีเซล ยังตรึงเอาไว้อยู่ พวกบรรดาเบี้ยน้อยหอยน้อยก็ยังพอทนใช้ ไม่ค่อยกระทบกับค่าครองชีพเท่าไร ร้านไหนขายอาหารขึ้นราคา ก็อย่าไปทานเสียก็แล้วกัน
นี่ก็แว่วข่าวรถราคาประหยัด กำลังจะสั่งเอาเข้ามาขายอีกแล้ว โดยอาศัยกรอบของอาฟตา เสียภาษีน้อย แต่ข่าวเรื่อง อีโคคาร์ พักนี้ทำไมเงียบๆ ไปก็ไม่รู้
แต่เรื่องนี้คุยกันมาตั้งนานแล้ว เจ้าอื่นเขาก็ทำกันไปตั้งนานนมแล้ว การบินไทย เพิ่งจะเสนอโครงการตั้งสายการบินราคาประหยัด "นกแอร์" โดยฝูงบินจะประกอบด้วย B 737-400 จำนวน 3 ลำ และเพิ่มเป็น 8 ลำในปีที่ 2 และ 13 ลำ ในปีที่ 3
จากนโยบายการเปิดเสรีการบินภายในประเทศ ทำให้เอกชนสนใจดำเนินธุรกิจสายการบินเพิ่มมากขึ้น เกิดการแข่งขันด้านราคาทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น ได้รับความนิยมจากผู้โดยสารสูงขึ้นเรื่อยๆ การบินไทยก็เลยต้องปรับตัวให้สามารถแข่งขันได้ โดยลงทุนจัดตั้งสายการบินราคาประหยัด ขึ้นมาเสียเอง
ทุนจดทะเบียนเบื้องต้น 500 ล้านบาท ภายใต้ชื่อ สกายเอเชีย แต่ใช้ชื่อสายการบินว่า นกแอร์ ที่ใครๆ เขาก็ท้วงกันทั่วบ้านทั่วเมืองว่า เวลาเขียนเป็นภาษาอังกฤษแล้วมันไม่ค่อยจะดีเท่าไร เพราะเขาจะอ่านกันเป็น โนเค แต่ก็ไม่เห็นแววว่าจะยอมเปลี่ยน
นั่นก็เรื่องหนึ่ง แต่อีกเรื่องหนึ่งเขาก็ท้วงกันอีกว่าเอาเครื่องคาร์โก มาใส่ที่นั่งเข้าไป แถมจะมีอัตราการใช้เครื่องบินเฉลี่ย 12.2 ชม./วัน ก็ท้วงกันอีกว่าไม่มากไปหน่อยหรือ
ส่วนลูกเรือที่ปฏิบัติการในเครื่องบิน ก็จะจ้างเอาจากลูกเรือของการบินไทย นั่นแหละ ก็ให้งงๆ ว่าวัฒนธรรมองค์กรของการบินไทย เป็นแบบการเดินทางราคาแพง แล้วมาบริการในการเดินทางราคาถูก ตัวพนักงานเองจะรับได้หรือ คนที่เขาจำหน้าลูกเรือได้ จะรับได้หรือ
การเตรียมการด้านการจัดการและให้บริการด้านต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้สามารถให้บริการแก่ผู้โดยสารได้อย่างรวดเร็วและได้รับความสะดวกเท่าที่ควร มันจะไหวหรือ
เอาน่า ไหนๆ ก็เป็นบริษัทมหาชนแล้ว คอยตอบคำถามประดามีในที่ประชุมผู้ถือหุ้นก็แล้วกันนะครับว่าระยะเวลาคืนทุนที่ตั้งไว้ 2.76 ปีน่ะ จะทำได้จริงหรือ
กลับมารายงานมาตรวัดของเรานะครับ
เดือนที่ผ่านมายอดการขายยังคงเจริญเติบโตตามนโยบายรัฐบาล ที่อยากให้ประชากรของเรา ควักกระเป๋าเอาสตางค์ออกมาใช้ เพราะดอกเบี้ยเงินฝากแค่ 0.75 บาท แค่นั้นเองอีกหน่อยคงต้องมีของกำนัลไปฝากด้วย ท่านถึงจะยอมรับฝากเงินของพวกกระผมแหละ
ยอดการขายเพียงเดือนเดียว เพิ่มถึง 24.6 % มีตัวเลขถึง 51,315 คัน ในขณะที่ยอดรวมสี่เดือนโตถึง24.0 % ด้วยตัวเลข 198,900 คัน
ยอดรวมของรถทุกประเภท แชมพ์อันดับหนึ่ง โตโยตา ขาย 17,572 คัน หนนี้เพิ่มขึ้นมาเยอะ 43.6 % ได้ส่วนแบ่งการตลาด 34.2 % โดยมีอันดับสองกวดมาติด ๆ อีซูซุ 13,194 คัน เพิ่มเล็ก ๆ 20.7 % ส่วนแบ่งตลาด 25.7 % ส่วนอับดับสามขายได้ประมาณครึ่งเดียว ฮอนดา 6,563 คัน เพิ่มน้อย 8.8 % ส่วนแบ่ง 12.8 % อันดับที่สี่ นิสสัน ขาย 4,887 คัน เพิ่มเยอะ 22.9 % ส่วนแบ่ง 9.5 % และที่ห้ากลับมาแล้วจากเดือนก่อน มิตซูบิชิขายได้ 3,071 คัน ลดลง 4.2 % ส่วนแบ่ง 6.0%
ส่วนยอดรวมสี่เดือนตำแหน่งไม่เปลี่ยนแปลง
แยกเป็นประเภทรถยนต์นั่ง โตขึ้นมาเล็กน้อย 7.0 % ขายทั้งตลาด 15,339 คัน ยอดรวมสี่เดือนโตแค่6.4 % รวม 61,346 คัน
ตำแหน่งแชมพ์ โตโยตา บุกแหลก ขาย 6,291 คัน เพิ่ม 4.5 % ส่วนแบ่งตลาด 41.0 % ที่สอง ฮอนดา ขาย 5,998 คัน เพิ่ม 15.3 % ส่วนแบ่ง 39.1 % ที่สามขายน้อยลง นิสสัน 1,205 คัน ลดลง 10.5 % ส่วนแบ่ง 7.9 % ที่สี่ เชฟโรเลต์ ขาย 457 คัน โตเยอะเพราะเริ่มมีหลายรุ่น ส่วนแบ่ง 3.0 % ที่ห้า เมร์เซเดส-เบนซ์ ขาย 425 คัน เพิ่มเล็กๆ 3.7 % ส่วนแบ่ง 2.8 %
ผู้เสียภาษีสูงสุด โพร์เช ขายได้ 4 คัน และ แจกวาร์ ขายได้ 18 คัน
แยกเป็นประเภทรถกระบะหนึ่งตันขับเคลื่อน 2 ล้อโตขึ้น 40.3 % ขายทั้งตลาด 27,165 คัน ยอดรวมสี่เดือนโต 40.3 % รวม 103,115 คัน
ตำแหน่งแชมพ์ อีซูซุ ขาย 11,442 คัน เพิ่ม 26.2 % ส่วนแบ่งตลาด 42.1 % ที่สอง โตโยตา ขาย 7,417 คัน เพิ่ม 85.2 % ส่วนแบ่ง 27.3 % ที่สาม นิสสัน ขาย 3,507 คัน เพิ่ม 45.3 % ส่วนแบ่ง 12.9 % ที่สี่ มิตซูบิชิ ขาย 2,345 คัน โต 9.2 % ส่วนแบ่ง 8.6 % ที่ห้า ฟอร์ด ขาย 1,097 คัน ลดลง 8.7 % ส่วนแบ่ง 4.0 %
ประเภทรถกระบะหนึ่งตัน ขับเคลื่อน 4 ล้อ เติบโตลดลง 21.5 % ขายทั้งตลาด 2,656 คัน ยอดรวมสี่เดือนลดลง 21.3 % ขาย 10,195 คัน
ตำแหน่งแชมพ์ โตโยตา ขาย 1,408 คัน เพิ่ม 6.4 % ส่วนแบ่งตลาด 53.0 % ที่สอง อีซูซุ ขาย 983 คัน ลด 29.0% ส่วนแบ่ง 37.0 % ที่สามขาย มิตซูบิชิ ขาย 108 คัน ลด 50.2 % ส่วนแบ่ง 4.1 % ที่สี่ ฟอร์ด ขาย 86 คัน ลดลง 74.9 % ส่วนแบ่ง 3.2 % ที่ห้า มาซดา ขาย 31 คัน เพิ่ม 55.7 % ส่วนแบ่ง 1.2 %
รถกิจกรรมกลางแจ้งหรือเอสยูวี เติบโตลดลง 10.5 % ขายทั้งตลาด 1,600 คัน ยอดรวมสี่เดือนลดลง 23.3 % ขาย 5,770 คัน
ตำแหน่งแชมพ์ ฟอร์ด ขาย 574 คัน เพิ่ม 408.0 % ส่วนแบ่งตลาด 35.9 % ที่สอง ฮอนดา ขาย 404 คัน ลด 47.1 % ส่วนแบ่ง 25.3 % ที่สาม โตโยตา ขาย 208 คัน ลด 50.9 % ส่วนแบ่ง 13.0 % ที่สี่ มิตซูบิชิ ขาย 149 คัน ลดลง 11.3 % ส่วนแบ่ง 9.3 % ที่ห้า มาซดา ขาย 72 คัน ลด 51.4 % ส่วนแบ่ง 4.5 %
รถเพื่อการพาณิชย์ โตขึ้นเยอะ ประดา 6 ล้อทั้งหลายนั่นแหละครับ โต 30.3 % ขาย 32,899 คัน ตำแหน่งแชมพ์ อีซูซุ ขาย 13,192 คัน เพิ่ม 20.8 % ส่วนแบ่ง 40.1% ที่สอง โตโยตา ขาย 9,652 คัน เพิ่ม 55.2 % ส่วนแบ่ง 29.3 % และที่สาม นิสสัน ขาย 3,623 คัน เพิ่ม 44.1% ส่วนแบ่ง 11.0 %
รถอเนกประสงค์อื่นๆ หรือรถแวนนั่นแหละครับ เพิ่มนิดเดียว 10.6 % ขายได้ 769 คัน โดยมี โตโยตาขาย 621 คันเข้าไปแล้ว
นั่นคือความเป็นไปหลังอภิปรายไม่ไว้วางใจไปแล้ว ฝ่ายรัฐบาลก็เจ็บตัวกันถ้วนหน้าเพียงแต่เสียงดังกว่าเท่านั้นเอง
เอ๊ะ...มันเกี่ยวกับเรื่องตัวเลขหรือเปล่าเนี่ย
ก็จำ ๆ กันเอาไว้นะฮะว่าเวลาลงคะแนนเสียงหนหน้า คุณยังจะเลือกคนหน้าเดิม ๆ อยู่หรือเปล่าอีกเดือนสองเดือนเราก็จะได้ซ้อมเลือกตั้งผู้ว่า กทม. กันแล้ว แหม ไม่ได้เข้าคูหา กากบาท เสียนานจะได้ทำอีกหนแล้ว
เสียแต่ทำหนนี้แล้วคงอีกนาน กว่าจะได้กากบาทกันใหม่นะฮะ
คิดถึงจัง
ABOUT THE AUTHOR
ม
มือบ๊วย
ภาพโดย : -นิตยสาร 399 ฉบับเดือน มิถุนายน ปี 2547
คอลัมน์ Online : มาตรวัดตลาดรถ