โค้งอันตราย
ท่าอากาศยานพลังงานสะอาด
วันนี้คุณย้ายที่นอนหรือยัง คำนี้น่าจะเป็นคำถามประจำใจเรื่องใหม่ เพราะพณหัวเจ้าท่านของเราทำตัวเป็นนกขมิ้น ค่ำไหนนอนนั่น ควักสตางค์แจกชาวบ้านเป็นว่าเล่น ก็มันใกล้ต้องเลือกตั้งกันใหม่อีกแล้ว เป็นเรื่องธรรมชาตินะครับ ไม่ได้มาหาเสียงนา แค่พบปะประชาชนเท่านั้นเองขอรับ
หนที่แล้ว ก็ไปตั้งเทนท์นอนกันที่ก่อสร้างสนามบินสุวรรณภูมิ แถมมีประชุม ครม. ด้วย เล่นเอาผู้รับเหมาโกลาหลอลหม่านไปตามๆ กัน
ก็ดีครับ ไปดูความคืบหน้าการก่อสร้าง จะได้รู้ว่ามีทางเสร็จทันกำหนดหรือเปล่า จะได้รู้ว่า ใครโม้กันมั่ง
เรื่องของสนามบินเนี่ย น่าสนใจที่วางแผนงานกันจะให้เป็น ท่าอากาศยานพลังงานสะอาด เพื่อเป็นการส่งเสริมการประหยัดพลังงาน และการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ โดยยกให้ ปตท. กับ กฟผ. เป็นเจ้าภาพตั้งบริษัทผลิตไฟฟ้า และน้ำเย็น
ระบบใหม่ชื่อ GAS DISTRICT COOLING AND COGENERATION เป็นการนำแกสมาใช้ในการผลิตกระแสไฟฟ้า และนำพลังงานความร้อนที่เหลือ ไปผลิตไอน้ำเพื่อใช้สำหรับกระบวนการผลิตในโรงงาน และยังมีพลังงานเหลือไปใช้ในระบบทำความเย็นได้อีก
ระบบนี้คุยกันว่ามีประสิทธิภาพในการใช้พลังงาน 60-75 % และมีค่าใช้จ่ายในการเดินเครื่อง และการซ่อมบำรุงโดยรวมโดยเฉลี่ยต่ำกว่าระบบอื่น เนื่องจากในส่วนระบบการทำความเย็นใช้ ABSORBTION CHILLER ซึ่งมีกระบวนการทำความเย็นโดยการดูดซึม และใช้น้ำเป็นตัวพาความเย็น
อีกเรื่องหนึ่งที่ยกกันมาโม้ คือ เป็นผลดีต่อสิ่งแวดล้อม เพราะใช้แกสเป็นเชื้อเพลิงหลักในการผลิตไฟฟ้า ทำให้คุณภาพไอเสียที่ออกมาจากหน่วยผลิตไฟฟ้า มีมลพิษต่ำกว่าการผลิตไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงชนิดอื่นๆ เช่น น้ำมันเตา น้ำมันดีเซล และถ่านหิน ทั้งยังใช้น้ำเป็นตัวทำความในระบบทำความเย็นแทนสารเคมี CFC ที่เป็นตัวการของสภาวะเรือนกระจกอยู่ในปัจจุบัน
และเพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาล ในการส่งเสริมการใช้เชื้อเพลิงชีวภาพ และการเป็นศูนย์กลางเชื้อเพลิงชีวภาพของประเทศไทยในภูมิภาค ก็จะบังคับให้ใช้ แกสโซฮอล ไบโอดีเซล และแกส NGV ซึ่งเป็นพลังงานสะอาดกับรถยนต์ทุกชนิด ที่ให้บริการบริเวณท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เช่น รถลากเครื่องบิน รถบรรทุกสินค้า รถรับส่งผู้โดยสารขึ้น/ลงเครื่องบิน รถบรรทุกอาหารของครัวการบินไทยรวมถึงรถโดยสาร และรถแทกซีรับส่งผู้โดยสาร ด้วย
ก็ว่ากันไปนะครับ แต่ทั้งหมดก็คือ ตอนนี้งานก่อสร้างสนามบินทุกอย่าง ล่าช้าไปราว 2 อาทิตย์เพราะเจอปัญหาเรื่องฝน แต่ผู้รับเหมาก็รับปากกันว่าจะพยายามให้เสร็จตามกำหนด
พยายามเชื่อกันก่อนนะครับ ว่าทำได้ ถ้าไม่ได้ค่อยว่ากันอีกที
เรื่องถัดไปเป็นเรื่องของ LOGISTICS ที่เมืองนอกเมืองนาเขาพัฒนากันจนก้าวไกลไปนานแล้วบ้านเราเพิ่งมาตื่นตัวก็ตอนที่เริ่มมี ซูเพอร์สโตร์ เข้ามาลงหลักปักฐานกันเยอะเข้า แถมแพร่หลายกระจายเปิดสาขาตามหัวเมืองใหญ่ๆ เป็นว่าเล่น หลวงท่านก็เพิ่งตื่นตัว จัดสัมมนากันยกใหญ่
แต่ไม่รู้ว่าความรับผิดชอบมันควรจะไปตกอยู่กับใคร กลายเป็นว่า งานนี้กระทรวงการคลังเป็นเจ้าภาพกระผมเองก็งงๆ อยู่ครับ
แต่เราเอาผลงานมาคุยกันดีกว่านะครับ
เจ้า ลอจิสติคส์ นี่เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการของ SUPPLY CHAIN MANAGEMENT ซึ่งรวมถึงเรื่องการวางแผน การดำเนินการ การควบคุม การไหลเวียน การจัดเก็บวัสดุสินค้าการบริการและสารสนเทศ อย่างมีประสิทธิภาพ และประสิทธิผล จากแหล่งจุดกำเนิดของวัตถุดิบจนถึงจุดบริโภคหรือจุดการใช้งาน เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า
เรียกว่า เมืองนอกเมืองนาเขาร่ำเรียนกันเป็นหลักเป็นฐาน ซึ่งมันก็คือคือ การบริหารการจัดส่งสินค้าเพื่อให้ได้ผลิตภาพสูงสุด ในขณะที่ใช้ปัจจัยที่ต่ำที่สุด เงิน เวลา วัตถุดิบ การขนส่ง แรงงาน และการบริหาร เป็นต้น
ประเด็นใหญ่คือ รัฐวิสาหกิจ ที่ต้องเริ่มตื่นตัวพัฒนาประสิทธิภาพกันก่อน ตั้งแต่ รถไฟ ท่าเรือ รสพ. เดินเรือทะเล การบินไทย เยอะแยะครับ
ที่น่าสนใจก็คือ ฟากของผู้ผลิต หรือผู้ประกอบรถยนต์บรรทุกในประเทศ ที่พยายามเงี่ยหูฟังอย่างใจจดจ่อ เพราะย่อมแน่นอนว่า รถหัวลาก หรือ TRUCK TRACTOR ย่อมมียอดขายเพิ่มสูงขึ้นจากการพัฒนาประสิทธิภาพเรื่องนี้แน่นอน
สิริรวมได้ความว่า ฟากรัฐบาล จะพัฒนาระบบ แบ่งเป็นทางภาคพื้น และทางอากาศ
สาเหตุที่ไม่เป็นภาคพื้นดิน ก็เพราะท่านรวบรวมเอาหลากหลายอย่างมารวมกัน ตั้งแต่การพัฒนาท่าเรือไทย เชื่อมโยงระบบขนส่ง และพัฒนาท่าเรือภูมิภาค พัฒนาศูนย์รวบรวมและการกระจายสินค้า พัฒนาระบบราง ทางน้ำ และท่อ
เรื่องนี้ฟากการก่อสร้างก็เงี่ยหูฟังอยู่ครับ
อันสุดท้าย คือ ตั้งเจ้าภาพ เป็นคณะกรรมการโลจิสติคส์แห่งชาติ เพื่อดูแลระเบียบข้อบังคับต่างๆ
ส่วนทางอากาศ ก็ประกอบไปด้วย เชื่อมโยงเครือข่ายเส้นทางบิน, พัฒนาสนามบินเชียงใหม่ให้เป็นศูนย์กลางภาคเหนือ พัฒนาสนามบินภูเก็ต ศูนย์กลางภาคใต้ และอันสุดท้ายนี่ตั้งชื่อน่ากลัวจังครับ ว่า
ศูนย์กลางลอจิสติคส์ของโลกด้านอาหาร ผัก ผลไม้สด ดอกไม้ แฟชัน ชิ้นส่วนอีเลคทรอนิคส์ อะไหล่รถยนต์ และเครื่องประดับ
ก็ตั้งกรรมการกันมาแล้ว ก็ต้องปล่อยให้ท่านดำเนินการกันก่อนนะครับ
ตามประสาระบบใหม่นะครับ ก็ต้องดูกันว่าจะได้ผลลัพธ์อะไรบ้าง เรื่องแรก ความมีประสิทธิภาพด้านต้นทุน เรื่องที่สอง ความสามารถในการตอบสนองต่อผู้ใช้บริการ และความเชื่อมั่นของผู้ใช้บริการ
แต่สิ่งที่คาดกันว่าจะเพิ่มประสิทธิภาพได้ทันที ก็มี อาทิ การส่งมอบสินค้ากับสายการบิน ลดเวลาจาก 3 ชม. ให้เหลือน้อยกว่า 2 ชม. จัดระเบียบการขนยกตู้สินค้ารถไฟ จาก 4 ชม. ให้เหลือภายใน 2 ชม.
ลดค่าใช้จ่ายจาก ตันละ 380 เหลือ 340 บาท
ที่น่าสนใจก็เรื่อง การลดขั้นตอนพิธีการศุลกากร จาก 5 วัน เหลือภายใน 1 วัน
เรื่องนี้เป็นปัญหาหนักอกของภาคเอกชนมานานแล้วละครับ เรื่องการติดต่อประสานงานกับทางราชการนี่ ใช้เวลามากเกินกว่าเหตุ เพราะไม่มีน้ำมันหล่อลื่น แต่พอมีน้ำมันหล่อลื่นแล้ว วิ่งฉิวเชียว
แหม เรื่องอย่างนี้ทำไมถึงกับต้องเปลี่ยนตัวรัฐมนตรีกันด้วยก็ไม่รู้นะครับ
แค่เพิ่งจะเริ่มยุทธศาสตร์การลดการคอร์รัพชันเท่านั้นเอง ยังไม่ทันเห็นผลเลย
เอ๊ะ เกี่ยวกันหรือเปล่าครับ
เรื่องโดย : มือบ๊วย
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน พฤศจิกายน ปี 2547
คอลัมน์ Online : โค้งอันตราย
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/52248