ผ่านพ้นเดือนที่ 7 ของปีในเดือนกรกฎาคม กันไปอย่างแช่มชื่น ในเมื่อยอดการขายเพียงเดือนเดียว ยังเติบโตถึง 7.5 % ขายกันทั้งตลาด 65,178 คัน ทำให้ยอดรวม 7 เดือนแรก ทำได้ 264,668 คัน เติบโต 6.8% พร้อมทั้งมีรถรุ่นใหม่ หรือปรับโฉมใหม่ แนะนำออกสู่ตลาดกันหลายยี่ห้อ รวมทั้งบรรดาแคมเปญของยักษ์ใหญ่ ที่เล่นกันทั้งบนดิน ใต้ดิน ดึงดูดกำลังซื้อกันสนุกสนานเมื่อมองกลับไปด้านภาวะเศรษฐกิจของบ้านเราแล้ว คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน หรือ กกร. มองว่า การส่งออกในปี 2560 น่าจะสามารถรักษาการขยายตัวได้ตามกรอบประมาณการที่ 3.5-4.5 % หลังจากในช่วงครึ่งปีแรกขยายตัวได้ 7.8 % และแรงส่งด้านปริมาณหรือคำสั่งซื้อจากประเทศคู่ค้ายังมีแนวโน้มอยู่ในเกณฑ์ที่ดี อย่างไรก็ดี ราคาสินค้าเกษตรหลักที่อยู่ในระดับต่ำ การเบิกจ่ายงบลงทุนที่ชะลอตัวลง และความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมที่อ่อนแรงลง อาจจะยังคงเป็นปัจจัยถ่วงการใช้จ่ายภายในประเทศในช่วงที่เหลือของปีนี้ ทั้งนี้ กกร. ยังมีมุมมองที่ระมัดระวังต่อแนวโน้มการขยายตัวของเศรษฐกิจไทย จึงคงกรอบประมาณการอัตราการขยายตัวของ จีดีพี (GDP) ในปี 2560 ไว้ที่ 3.5-4.0 % และเงินเฟ้อที่ 0.5-1.5 % ตามเดิม เท่ากับหมายความว่า ไม่ว่าเศรษฐกิจโลกจะเป็นอย่างไร หากไม่มีผลกระทบมาถึงบ้านเรารุนแรงมากนัก สภาวะเศรษฐกิจภายในของบ้านเรา ก็ไม่น่าจะตกต่ำลงไปมากกว่านี้ ขณะที่จากมุมมองของศูนย์วิจัยกสิกรไทย ก็ระบุว่า การลงทุนภาครัฐยังคงมีบทบาทที่สำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจในปี 2560 ท่ามกลางการลงทุนภาคเอกชนที่ทยอยฟื้นตัว การลงทุนภาครัฐอาจจะชะลอตัวลงไปบ้างในช่วงไตรมาสที่ 2 แต่คาดว่าจะกลับมาเร่งตัวเองได้ในไตรมาสที่ 3 ของปี 2560 โดยคาดว่าจะมีการเบิกจ่ายงบประมาณกลางปี 2560 ที่สูงขึ้น ตลอดจนการเร่งเบิกจ่ายงบประมาณในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีงบประมาณ 2560 นอกจากนี้ โครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานภาครัฐในหลายโครงการที่มีความล่าช้าจากในช่วงต้นปี ทั้งโครงการรถไฟรางคู่ และรถไฟฟ้าสายสีชมพู และสีเหลือง ก็คาดว่าจะเริ่มดำเนินการก่อสร้างได้ในช่วงครึ่งหลังของปี 2560 นี้ ส่วนตัวเลข จีดีพี ในช่วงครึ่งปีแรกที่ขยายตัวดีกว่าที่คาด มีโอกาสส่งผลให้ จีดีพี ตลอดทั้งปี 2560 ขยับเข้าใกล้กรอบบนของประมาณการ (กรอบประมาณการปี 2560 อยู่ที่ร้อยละ 3.0-3.6) อย่างไรก็ตาม ในช่วงที่เหลือของปี เศรษฐกิจไทยยังมีปัจจัยท้าทายที่ต้องเผชิญ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการส่งออกที่ได้รับแรงกดดันจากค่าเงินบาทที่แข็งค่า ผลกระทบจากภาวะน้ำท่วมที่อาจจะเป็นแรงกดดันกำลังซื้อเพิ่มเติม โดยยังคงประมาณการเศรษฐกิจไทยทั้งปี 2560 จีดีพี ไว้ที่ร้อยละ 3.4 เพื่อประเมินผลกระทบจากประเด็นความท้าทายทางเศรษฐกิจในระยะต่อไป แต่จากความเห็นของค่ายยักษ์ใหญ่ ที่ระบุเอาไว้ว่า ตลาดรถยนต์ในเดือนสิงหาคม แนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง จากมาตรการกระตุ้นการลงทุนอย่างต่อเนื่องจากภาครัฐส่งผลในเชิงบวกต่อภาพโดยรวมของการกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศ และความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่สูงขึ้น รวมถึงการเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่จากค่ายรถต่างๆ ตลอดจนการจัดงานแสดงรถยนต์ในเดือนสิงหาคม ล้วนเป็นปัจจัยสำคัญในการกระตุ้นการเติบโตของตลาดรถยนต์ ซึ่งเท่ากับว่า ในหลายด้านโดยรวมแล้ว สภาพเศรษฐกิจบ้านเราก็ยังอยู่ในระดับที่ดีพอควร ไม่ค่อยได้รับผลกระทบจากสภาวะเศรษฐกิจโลกมากนัก และก็มองไม่เห็นเหตุการณ์ที่จะเป็นตัวขัดขวางการเจริญเติบโตของบ้านเราได้โดยง่าย ก็เท่ากับว่า ห้วงเวลาที่เหลือ เราน่าจะสามารถก้าวไปข้างหน้าได้อย่างยิ้มแย้มตามสมควร ยิ่งทราบข่าวของคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนแล้ว หลายคนถึงกับยิ่งยิ้มแย้มมากขึ้น ตั้งแต่เรื่อง การส่งเสริมกิจการขนส่งทางราง (โครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู ช่วง แคราย-มีนบุรี) ระยะทางรวม 34.5 กม. เงินลงทุนทั้งสิ้น 46,064 ล้านบาท และอีกเส้นหนึ่ง กิจการขนส่งทางราง (โครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลือง ช่วง ลาดพร้าว-สำโรง) ระยะทางรวม 30.4 กม. เงินลงทุนทั้งสิ้น 43,404 ล้านบาท, การส่งเสริมขยายกิจการประกอบรถจักรยานยนต์ที่มีความจุกระบอกสูบตั้งแต่ 500 ซีซี ขึ้นไป ของ ทไรอัมฟ์ เงินลงทุนท้ังสิ้น 3,359 ล้านบาท กำลังผลิตปีละประมาณ 120,000 คัน ส่วนค่ายยักษ์ใหญ่ที่เคยบอกว่าจะลงทุน 20,000 ล้านบาท นั้น ก็ได้รับการส่งเสริมขยายกิจการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า แบบผสม HEV หรือ (HYBRID ELECTRIC VEHICLES) กำลังการผลิตปีละ 70,000 คัน ไปเรียบร้อยโรงเรียนสำโรง ตามระเบียบ แล้วใครบอกว่าเศรษฐกิจบ้านเรามันกำลังตกต่ำ เตี้ยติดดินก็ไม่ทราบ กรุณาแสดงตัวด้วย