ท่ามกลางสภาพเศรษฐกิจที่ค่อนข้างจะเริ่มดีขึ้นรอบตัวเรา ยอดการขายรถยนต์ในเดือนกันยายน ที่ผ่านมา ก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่ง ที่บ่งชี้ว่า เศรษฐกิจเริ่มดีขึ้นจริง ด้วยตัวเลขการขายเดือนเดียว เติบโต 21.9 % ขายกันได้ 77,592 คัน ขณะที่ยอดรวม 9 เดือน ขาย 620,711 คัน เพิ่มขึ้น 11.5 %ขณะเดียวกัน ในวันที่ 16 กันยายน พระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พศ. 2560 ได้มีผลใช้บังคับ ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของระบบกฎหมายภาษีสรรพสามิตและแนวทางการจัดเก็บภาษีแบบใหม่ เพื่อให้เกิดความเป็นธรรม โปร่งใส เป็นสากล และลดการใช้ดุลพินิจของเจ้าหน้าที่ ย่อหน้านี้เขียนตามคำพูดของคนระดับอธิบดีเชียวนะเนี่ย แต่จะทำได้แค่ไหน อย่างไร ก็น่าจะเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ผลกระทบที่จะเกิดขึ้น จากการที่ฐานภาษีเปลี่ยนแปลงมาก คือ การคำนวณภาษีจากราคาขาย ณ โรงงานอุตสาหกรรม CIF (COST INSURANCE FREIGHT ราคารวมค่าระวางและประกันภัยสินค้า) มาเป็นราคาขายปลีกแนะนำ หรือกลุ่มสุราคำนวณจากราคาขายส่งช่วงสุดท้าย เป็นราคาขายปลีกแนะนำมีการปรับลดอัตราภาษีให้สอดคล้องกับราคาขายปลีกแนะนำ ได้แก่ สินค้า ดังนี้ รถยนต์, แบทเตอรี และจักรยานยนต์ โดยในระยะแรกผู้ชำนาญการท่านว่า จะไม่เพิ่มภาระภาษีมากนัก แต่หลังจาก 2 ปี ภาระภาษีจะเพิ่มขึ้น และปรับเพิ่มภาษีทุก 2 ปี จนถึงปี 2566 ผลกระทบที่จะเกิดกับค่ายรถยนต์ แม้ว่าผู้แทนจากสภาอุตสาหกรรมฯ ที่เข้าร่วมในการพิจารณากับกรมสรรพสามิต จะร้องขอว่า ผู้ประกอบการต้องอาศัยเวลาเตรียมการ กว่าจะออกรถยนต์รุ่นใหม่ ต้องใช้เวลาล่วงหน้า 2-3 ปี เพราะเกี่ยวข้องกับผู้ผลิตชิ้นส่วน ซัพพลายเออร์ ทั้งห่วงโซ่การผลิต (ซัพพลายเชน) เป็นพันราย ดังนั้น ทางสมาคมฯ วิงวอนกรมสรรพสามิตเป็นกรณีพิเศษให้เร่งรัดการประกาศอัตราภาษีใหม่ให้ทราบ เพื่อให้วางแผนธุรกิจการลงทุนได้ เพราะอุตสาหกรรมนี้ไม่มีปัญหาการกักตุนสินค้า เพราะเป็นสินค้าที่มีมูลค่าสูง และมีข้อจำกัดด้านกำลังการผลิต แต่ในห้วงระยะเวลาหลังจากมีการประกาศใช้ภาษีสรรพสามิตฉบับใหม่นี้ สิ่งที่เกิดขึ้นทันทีทันใด ก็คือการปรับราคาของ สุรา เบียร์ ยาสูบ เรียกได้ว่าปรับกันชนิดข้ามคืนทีเดียว เช้าวันรุ่งขึ้น 17 กันยายน 2560 สินค้า 3 ชนิดที่ว่านี้ ขึ้นราคาพร้อมหน้าพร้อมตา แต่ทางฟากรถยนต์กลับอยู่ในสภาวะยอมรับอัตราภาษีใหม่โดยปริยาย ไม่มีค่ายไหน กล้าออกมาบอกว่าจะขึ้นราคาในทันทีทันควันเลย ในแง่จิตวิทยาการตลาดรับรองว่าจะไม่มีค่ายรถยนต์ค่ายไหน ประกาศขึ้นราคา โดยอ้างว่ามีภาระภาษีเพิ่มขึ้น เพราะปัจจุบัน บรรดาแคมเปญส่งเสริมการขาย เรียกได้ว่าทำกันอยู่ทุกค่ายอยู่แล้ว ใครไม่ทำ แทบว่าจะอยู่ไม่ได้กันทีเดียว เลยต้องนั่งกันเงียบๆ ไม่กล้าขึ้นราคารถยนต์ทันทีทันใด แต่ไม่ใช่ว่าจะไม่ขึ้นราคากันเลย คอยสักพักก็จะเห็นเอง ว่าค่ายรถยนต์จะมีวิธีการอย่างไร ที่จะปรับฐานราคาของรถยนต์ ไม่ให้ผู้บริโภครู้สึกได้มากนัก เรื่องนี้ เชื่อหัวไอ้เรืองได้เลย ว่าทำได้สบายมาก หันมองรอบข้างบ้าง ขณะเดียวกัน จากการที่การส่งออกขยายตัวดีกว่าคาดในช่วง 8 เดือนแรกของปี และยังมีแนวโน้มที่การส่งออกจะยังสามารถขยายตัวได้อย่างต่อเนื่องในช่วงที่เหลือของปี จากอานิสงส์การฟื้นตัวของเศรษฐกิจคู่ค้าหลัก ทำให้ที่ประชุม คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน ปรับเพิ่มประมาณการการเติบโตของการส่งออกในปี 2560 เป็น 6.5-7.5 % จากเดิม 3.5-4.5 % ซึ่งมีผลให้เศรษฐกิจไทยทั้งปี 2560 น่าจะขยายตัว 3.7-4.0 % ประมาณการเดิม 3.5-4.0 % สำหรับอัตราเงินเฟ้อนั้น แม้ว่าอัตราเงินเฟ้ออาจจะขยับขึ้นในไตรมาสสุดท้ายของปี แต่เมื่อพิจารณาค่าเฉลี่ยตลอดทั้งปีแล้ว คาดว่าคงจะไม่เกิน 1.0 % ที่ประชุม กกร. จึงปรับกรอบคาดการณ์เป็น 0.5-1.0 % จากเดิม 0.5-1.5 % นั่นคือ การส่งออกของไทย ขยายตัวดีขึ้น ตามการฟื้นตัวของประเทศคู่ค้า รวมทั้งการส่งออกรถยนต์ของเราไปยังประเทศต่างๆ ของหลากยี่ห้อในบ้านเราเช่นกัน ก็น่าจะเป็นแนวโน้มที่ดี สำหรับการเติบโตของวงการรถยนต์บ้านเรา ที่ปีนี้น่าจะมียอดขายขึ้นไปแตะระดับแปดแสนคัน ได้โดยง่าย มาจนจะหมดปีแล้ว น่าจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไรมากมายนัก ขอแสดงความยินดีกันไว้ล่วงหน้าเลย น่าจะไม่ผิดพลาดแต่ประการใด