ชีวิตคือความรื่นรมย์
สำนวนชวนสนเท่ห์
สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงมีพระมหากรุณาธิคุณต่อสรรพสัตว์อย่างมนุษยโลกเป็นอเนกประการ สิ่งหนึ่งที่มนุษย์ที่ไม่ค่อยเข้าวัดฟังธรรมบ่อยอย่างผู้เขียน (เพราะตอนเด็กเป็นศิษย์วัดอยู่หลายปีแล้ว) สำนึกได้คือมักจะหยิบยกพุทธภาษิตมาสั่งสอนตัวเองอยู่เสมอ แต่ละสุภาษิตไม่เคยผิดหวังไปได้เลย
อย่างเช่น "อเสวนา จะ พาลานัง บัณฑิตา นัญจะ เสวนา" ซึ่งแปลเอาเฉพาะใจความ ไม่เอาสำนวนสละสลวยได้ว่า "อย่าคบคนพาล พึงคบบัณฑิต"
หลายครั้งที่คบกับ "บัณฑิต"หรือ "ผู้รู้"มักจะได้อะไรดีๆ ติดสมองมาเสมอ
ในกลุ่มเพื่อนที่เขียนกลอนมาในรุ่นใกล้เคียงกัน หรือที่เรียกว่า "ร่วมสมัย" เวลาเราร่วมชุมนุมน้ำชาหรือน้ำสีชา ผู้เขียนจะได้ข้อคิดดีๆ มาเรื่อย
อย่างคราวหลังนี้ที่เราไปร่วมรำลึกครั้งสุดท้ายแด่คุณแม่ของเพื่อนคนหนึ่ง พอเสร็จงานแล้ว เราก็คุยเรื่องสารทุกข์สุขดิบตามประสาเพื่อนร่วมวัย แล้วเราก็อดไม่ได้ที่จะวกเข้ามาสู่เรื่องภาษาที่เราชอบคุยกัน ทำให้ได้เรื่องมาคุยแลกเปลี่ยนความเห็นกับท่านผู้อ่านในเดือนนี้
ท่านผู้อ่านคงเห็นด้วยกับข้าพเจ้าหรือกับพวกเราที่ว่า สำนวนไทยนั้น ส่วนมากก็คมคายบอกภูมิปัญญาอันลึกซึ้งของบรรพชนของเรา แต่ก็มีบางสำนวนที่เราอดสงสัยไม่ได้ว่า คงจะจดจำและถ่ายทอดกันมาผิดๆ เพี้ยนๆ โดยคงไม่ตั้งใจ แต่อาจเป็นอย่างที่เราพูดกันว่า "ฟังไม่ได้ศัพท์ จับมากระเดียด" ก็อาจเป็นได้ คือฟังไม่ชัดหรือไม่ตรงกับที่โบราณท่านว่ามาจริงๆ แต่จับคำมาตีความเอาเอง
ผู้เขียนจะขอนำเอาสำนวนที่เราสงสัยมาสัก 3-4 สำนวนเท่าที่มีเนื้อที่พอลงพิมพ์ได้พอ
สำนวนแรก เพื่อนคนหนึ่งบอกว่า ที่ว่า "ลดราวาศอก" ที่เราจำต่อๆ กันมานั้น ไม่น่าจะถูกต้อง เพราะไม่สื่อความอะไรที่หมายถึงว่า "ยอมลดราต่อกันฝ่ายละเล็กละน้อย เพื่อให้ตกลงกันได้" หรือที่เรียกว่า "ถอยหลังคนละก้าว"แล้วอาจตกลงกันได้
เพื่อนคนนี้เล่าว่า เขาเคยได้ยินพี่สาวของเขาซึ่งจบอักษรศาสตร์รุ่น "เก๋ากึ๊ก"บอกว่าอาจารย์รุ่นนักปราชญ์ท่านบอกว่า มันน่าจะเป็น "ลดวาราศอก"มากกว่า
โดยท่านอธิบายว่า "ลด"กับ "รา"ต่างก็มีความหมายเดียวกัน "วา"กับ "ศอก"ก็เป็นพวกเดียวกัน ถ้าจะพูดให้ตกลงกันได้ ทั้งสองฝ่ายควร "ลด"และ "รา"ทิฐิที่มีต่อกันคนละนิด คือฝ่ายหนึ่งก็ "ลดวา"ลงนิดหนึ่ง แล้วอีกฝ่ายหนึ่งก็ "ราศอก"ออกไปหน่อย ทีนี้ก็น่าจะตกลงกันได้
ฉะนั้นสำนวนจึงน่าจะเป็น "ลดวา-ราศอก" ซึ่งดูเข้าทีกว่าคำว่า "ลดราวาศอก" ซึ่งไม่สื่อความอะไรสักกะนิด
สำนวนที่สอง ก็ชวนสนเท่ห์เช่นกัน ที่ว่า "สิ้นไร้ไม้ตอก" แล้วก็ตีความหมายว่า "สิ้นทุกสิ่งทุกอย่างยากไร้ ขัดสนถึงที่สุด ไม่มีทรัพย์สมบัติติดตัว"นั้น มันเกี่ยวอะไรกับ "ไม้"และ "ตอก"(เอาไม้ไผ่มาจักเป็นเส้นๆ แล้วเหลาเป็นเส้นบางๆ เพื่อผูกมัดสิ่งของ หรือมัดไม้ระแนงทำเป็นรั้ว หรือเอาเส้นบางๆ นี้ไปสานเป็นภาชนะใส่ของ เช่น กระบุง ตะกร้า กระด้งฝัดข้าว ฯลฯ)
ลองเปลี่ยนสำนวนนี้ดูทีหรือว่า "สิ้นไม้-ไร้ตอก" ฟังดูเข้าทีหรือไม่ คือถ้า "สิ้นไม้" (โดยเฉพาะไม้ไผ่) เสียแล้ว เราก็คง "ไร้ตอก" คือไม่อาจเอาไม้อะไรมาจักเป็นตอกเพื่อเอามาทำประโยชน์ต่างๆ ได้ จริงหรือไม่
ดังนั้น สำนวนที่ถูกมันน่าจะเป็น "สิ้นไม้ไร้ตอก" ซึ่งฟังดูเป็น "เหตุ" (คือสิ้นไม้) และเป็น "ผล" ให้ "ไร้ตอก" เข้าหลักการณ์หรือเป็น "ตรรกะ" มากว่า "สิ้นไร้ไม้ตอก" ซึ่งฟังดูแล้วเคว้งคว้างไร้ข้ออ้างอิงใดๆ
สำนวนที่สาม นี่ก็น่าคิด คือสำนวนที่ว่า "ไม่ได้ด้วยเล่ห์ก็เอาด้วยกล ไม่ได้ด้วยมนต์ก็เอาด้วยคาถา" ลองคิดดูให้ลึกๆ อีกทีมันไม่น่าจะเป็นเหตุเป็นผลได้เลย
นั่นคือ คำว่า "เล่ห์" กับ "กล"นั้นความหมายต่างกันหรือไม่ เมื่อใช้ "เล่ห์" ก็ไม่ได้ผลตามที่ปรารถนาแล้ว ก็ใช้ "กล" จะได้ผลหรือ เมื่อเล่ห์ และกลต่างก็เป็นสิ่งเดียวกัน
ในทำนองเดียวกัน เมื่อพยายามใช้ "มนต์"แล้วก็ยังไม่ได้สำเร็จสมปรารถนา แล้วถ้าใช้ "คาถา"(ซึ่งมันก็ความหมายเดียวกับ "มนต์"นั่นแหละ) แล้วมันจะสำเร็จผลกระไรได้ จริงไหม ?
ลองเปลี่ยนวิธีการใหม่ดูทีหรือ คือ "เมื่อใช้เล่ห์" (กระเท่นานัปการ) แล้วก็ยังไม่ได้ผล ก็น่าจะลอง"เอาด้วยมนต์"(คาถาอาคม) ดูทีหรือ เป็นการพลิกแพลงเปลี่ยนวิธีการใหม่ดู มันอาจได้ผลก็ได้ อย่างน้อยก็เปลี่ยนแนวการกระทำ จากใช้ "เล่ห์" มาใช้ "มนต์" ดูบ้าง
ในทำนองเดียวกัน เพื่อเน้นย้ำให้ดูแนบเนียนเข้าไปอีกว่า เมื่อ "ไม่ได้ด้วยกล" หรือใช้ "กลมายา" ร้อยเล่มเกวียนแล้วก็ยังไม่ได้ผล ก็น่าจะเปลี่ยนวิธีการไปลองใช้ "มนต์คาถาอาคม" ดูบ้าง ตามประสาความเชื่อของคนไทยโบราณ มันอาจจะได้ผลขึ้นมาบ้างก็ได้
หรือถึงแม้จะไม่ได้ผล ก็ให้มันรู้ไปว่า ได้ลองใช้ทั้ง "เล่ห์กล" แล้วยังไม่ได้ผล จึงลองใช้ "มนต์คาถา" ดูบ้าง เรียกว่าพลิกแพลงด้วยวิธีที่ต่างกัน
ไม่ใช่ว่า "ไม่ได้ด้วยเล่ห์" แล้ว ยังใช้ "กลมายา"อย่างเดิมๆ อยู่ อีก หรือ ใช้ "มนต์" แล้วยังไม่ได้ผล ก็ยังดันทุรังใช้ "คาถา" ซึ่งก็เป็นแนวเดิมๆ อยู่อีก มันจะได้ผลอย่างไร จริงหรือไม่
ที่ประชุมสมัชชากาแฟของผู้เขียนจึงลงมติว่า สำนวนที่ถูกต้องน่าจะเป็น "ไม่ได้ด้วยเล่ห์ก็เอาด้วยมนต์ ไม่ได้ด้วยกลก็เอาด้วยคาถา" แล้วปลดป้ายเดิมที่ว่า "ไม่ได้ด้วยเล่ห์ก็เอาด้วยกล ไม่ได้ด้วยมนต์ก็เอาด้วยคาถา" ทิ้งไปอย่างไม่ไยดีตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา
สำนวนที่สี่ สำนวนนี้ประหลาด เพราะโบราณท่านพูดสลับกัน ฟังดูก็เป็นปริศนาธรรมอันลึกซึ้งอยู่ แต่พอไปดูคำไข กลับตรงกันข้าม สำนวนนี้คือ "ไก่เห็นตีนงู งูเห็นนมไก่"
ที่ว่าเป็นปริศนาธรรมคือ โดยธรรมชาติแล้ว เราไม่รู้ว่าไก่มีนมและงูมีตีนหรือไม่ เพราะดูเท่าไรๆก็ไม่เคยปรากฏ แต่เวลาพูดไขว้กันว่า "ไก่เห็นตีนงู" และ "งูเห็นนมไก่" ก็ฟังดูแล้วเก๋เท่อย่าบอกใคร แถมพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานท่านยังอธิบายว่า "ต่างฝ่ายต่างรู้ความลับของกันและกัน" เลยเข้าลักษณะที่ผู้เขียนว่าดูเป็นปริศนาธรรมดี แต่เอาความจริงไปจับแล้ว ไปคนละทาง
แต่เมื่อต้องการคำอธิบายที่ชัดเจนต้องไปดูโคลงโลกนิติที่สมเด็จกรมพระยาเดชาดิศรทรงชำระไว้ปรากฏคำไขที่ชัดเจนแจ่มแจ้งแดงแจ๋ว่าดังนี้
ตีนงูงูไซร้หาก เห็นกัน
นมไก่ไก่สำคัญ ไก่รู้
หมู่โจรต่อโจรหัน เห็นเล่ห์ กันนา
เชิงปราชญ์ฉลาดกล่าวผู้ ต่างรู้เชิงกัน
เป็นอันชัดเจนว่า งูเท่านั้นที่เห็นตีนงู ไก่เท่านั้นที่เห็นนมไก่ โจรกับโจรเท่านั้นที่จะรู้ทันเล่ห์เหลี่ยมของกันและกัน เฉกเช่นปวงนักปราชญ์ด้วยกันเท่านั้น ที่กล่าวอะไรลึกซึ้งออกมา แล้วนักปราชญ์ด้วยกันจะรู้เท่าทันกัน
นี่แหละกระมังที่นายกรัฐมนตรีประเทศสารขัณฑ์จึงว่าดูหมิ่นสติปัญญาของพวกนักวิชาการไม่รู้อะไรควรไล่เข้าไปสงบอยู่ในห้องสมุดเถิดไป๊ ชูว์ๆ
เรื่องโดย : ประยอม ซองทอง
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน ธันวาคม ปี 2547
คอลัมน์ Online : ชีวิตคือความรื่นรมย์
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/52297