ชีวิตคือความรื่นรมย์
มาลัยคล้องใจคน
ปีพุทธศักราช 2549 นี้ นอกจากเป็นปีมหามงคลที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงครองราชย์ยืนนานที่สุดถึง 60 ปีแล้ว ยังเป็นปีที่มีบุคคลสำคัญของไทยมีชาตกาลครบ 100 ปีอยู่อีกหลายคน ที่องค์การศึกษา วิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (ยูเนสโก ) ประกาศยกย่องเป็นบุคคลสำคัญของโลก และให้จัดงานยกย่องเกียรติคุณอยู่แล้ว ท่านคือ พระดีที่มีนามว่า อินทปัญโญ หรือที่เรียกกันทั่วไปว่าพุทธทาสภิกขุ
แต่ในใจของนักวรรณกรรม เมื่อนึกถีงผู้มีชาตกาลครบ 100 ปี และยังเป็นผู้ที่นักอ่านนักเขียนระลึกถึงอยู่เสมอด้วยผลงานอันมีคุณค่ามากมาย ก็มี มาลัย ชูพินิจ พัฒน์ เนตรรังษี (นามปากกา พ. เนตรรังษี) เป็นต้น
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง (ผู้ที่คนทั่วไปเรียกครู เพราะเคยเป็นครู) มาลัย ชูพินิจ นั้น เป็นนักเขียนและเป็นนักหนังสือพิมพ์ที่มีผลงานอันทรงคุณค่ามากมาย และ (น่าจะ) เป็นผู้ที่มีนามปากกามากที่สุด เพราะมีผลงานด้านต่างๆ มาก จึงต้องใช้นามปากกาต่างๆ กันมากมายกว่า 30 นาม
ครูมาลัย เกิดเมื่อวันที่ 25 เมษายน 2449 ที่ตำบลคลองสวนหมาก อำเภอเมือง จังหวัดกำแพงเพชรเรียนจบชั้นประถมศึกษา เมื่ออายุ 10 ขวบ แล้วได้เข้ามาเรียนในกรุงเทพ ฯ ที่ รร. บพิตรพิมุข (ม.1-6) เรียนวิชาครูที่ รร. วัดบวรนิเวศ จนจบประโยคครู (ปม.) แล้วกลับไปเรียน ม. 7-8 รร. สวนกุหลาบวิทยาลัย จบมัธยมบริบูรณ์ จบแล้วไปเป็นครูอยู่ 2 ปี ก่อนจะเข้าสู่วงการประพันธ์และหนังสือพิมพ์
อย่างจริงจังเป็นอาชีพ จนวาระสุดท้ายแห่งชีวิต เป็นนักประพันธ์ในกลุ่มสำคัญ คือ กลุ่ม "สุภาพบุรุษ" ซึ่งมี กุหลาบ สายประดิษฐ์ (ศรีบูรพา) เป็นแกนนำคนสำคัญ
ครูมาลัย ใช้นามปากกาในการเขียนเรื่องสั้น-นวนิยายว่า "เรียมเอง" (มีเรื่องสั้นนับพันในนามปากกานี้ และเรื่องสั้น-สั้นในนามปากกา "มาณวิกา") นวนิยายเรื่องเด่นในนาม เรียมเอง คือ "ทุ่งมหาราช") ในการเขียนนวนิยายส่วนมากใช้ "แม่อนงค์" (ซึ่งมีงานที่ไม่มีใครลืมเรื่อง แผ่นดินของเรา ชายชาตรี ชั่วฟ้าดินสลาย เกิดเป็นหญิง ฯลฯ) ในการเขียนนิยายเรื่องป่าที่โด่งดังใช้ น้อย อินทนนท์ (เรื่องที่ยากจะมีใครเทียม คือ ล่องไพร)
มีบทความมากมายที่อ่านได้ทุกเวลา ทั้งในนามจริง และนาม ม. ชูพินิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบทความชุด "กระท่อม ป.ล." อันมีภาษานุ่มนวล คมคาย จับใจ เป็นแบบอย่างการเขียนความเรียง และคอลัมน์ประจำได้อย่างดีเยี่ยม นอกจากนั้น ยังมีบทความจากนามปากกาต่างๆ ที่ใช้เขียนเกี่ยวกับกีฬามวยเกี่ยวกับวงการวรรณกรรม มีเรื่องแปลที่เป็นอมตะ เช่นเรื่อง เต็ลมา เถ้าสวาท (ใช้นามปากกา "แม่อนงค์") ในฐานะนักหนังสือพิมพ์ มีสารคดีที่อ่านแล้ววางไม่ลง เช่น บันทึกจอมพล เสือฝ้ายสิบทิศ ฯลฯ
ผู้ที่ต้องการรายละเอียดจะค้นคว้าจาก "ระหว่างชีวิต มาลัย ชูพินิจ" ซึ่ง ขนิษฐา (ชูพินิจ) ณ บางช้างเป็นบรรณาธิการ "มาลัย ชูพินิจ และผลงานเชิงสร้างสรรค์" โดย สุธิรา สุขนิยม "ชมรมนักเขียน" และ "สุภาพบุรุษนักประพันธ์" โดย ป. วัชราภรณ์ กับ "มาลัย ชูพินิจ: ชีวิตในอาณาจักรอักษร" โดย เริงไชยพุทธาโร
สำหรับผู้เขียนแล้ว "ทุ่งมหาราช" เป็นนวนิยายยิ่งใหญ่ในใจ ที่อ่านแล้วซาบซึ้งเป็นพิเศษในวัยเริ่มเป็นหนุ่ม บรรยากาศลูกทุ่งที่เป็นนวนิยายเชิงชีวประวัติ และประวัติของชุมชน ทำให้นึกภาพต่อสู้ และการก่อร่างสร้างชุมชนคลองสวนหมาก(ในความคิดของผู้เขียน)
ส่วน "แผ่นดินของเรา" ซึ่งครู มาลัย ในนาม "แม่อนงค์" ทำให้อ่านไปน้ำตาซึมกับชีวิตที่เต้นเร่าๆ ในใจที่ต้องอ่านให้จบในคืนเดียว ทั้งด้วยเหตุที่วางไม่ลง และด้วยความจำเป็นที่ต้องคืนห้องสมุดประชาชนซึ่งมีคนคอยรออ่านต่ออีกหลายคนในวันรุ่งขึ้น และวันถัดๆ ไปคนละคืน ภาพที่ประทับใจยิ่ง คือ การบรรยาย (ที่นำมาใช้เป็นตัวอย่างของคำศัพท์ที่คนสื่อมวลชนทุกวันนี้ชอบใช้ผิดความหมาย คือคำว่า "ภาพพจน์") ซึ่งครูมาลัย บรรยายไว้เยี่ยมที่สุดว่า
"ดอกจันทน์กะพ้อร่วงพรู แต่มิได้หล่นลงสู่พื้นดินทีเดียว กลีบสีขาวของมันน้อยๆ และอ่อนนุ่ม ปลิวกระจายตามลมเหมือนผึ้งแตกรัง ไปตกที่นั่นนิดที่นี่หน่อย บนพื้นสีเขียว ในลำคู เกลื่อนกลาดอยู่รอบโคนต้นอย่างที่เคยหล่นมาแล้วในชีวิตของมัน ต่างแต่วันนี้ไม่มีใครเขาจะเหลียวแล ไม่มีใครจะเอาใจใส่ ไม่มีแม้แต่เด็กจะคอยเก็บไปร้อยเป็นพวงมาลัยเล่น หรือใส่พานบูชาพระ บางกลีบเคราะห์ร้าย
ปลิวไปตกลงกลางทางเดิน ก็รังแต่จะถูกเหยียบย่ำแหลกเหลวไปใต้ฝ่าเท้าที่โหดร้ายของคนผู้ไม่รู้จักคุณค่าของมัน ทำนองเดียวกับหัวใจอันบริสุทธิ์ของหญิงสาว ถูกขยี้โดยชายผู้ไม่รู้จักคุณค่าของความรัก"
และแล้วคำบรรยายภาพอันงดงามตรึงใจนี้ ก็กลายมาเป็นแรงสะเทือนใจ บันดาลใจให้อัจฉริยบุคคลอีกสองคนที่คนไทยจะไม่มีวันลืมไปอีกนานเท่านาน สร้างเป็นผลงานอันอมตะขึ้นมาในกาลต่อมา โดยคนที่หนึ่งชื่อ แก้ว อัจฉริยะกุล กรองเอาบทประพันธ์อันประณีตของ "แม่อนงค์" ออกมาเป็นบทร้องแล้วอีกคนนาม เอื้อ สุนทรสนาน ก็กรองทำนองอันแสนเศร้าซึ้งออกมาได้อย่างวิเศษ ยิ่งเมื่อนำมาให้คนที่มีแก้วเสียงวิเศษนามว่า มัณฑนา โมรากุล ขับร้อง เพลงชื่อ "จันทน์กะพ้อร่วง " จึงไพเราะงดงามสุดพรรณนา
"ดอกจันทน์กะพ้อรวงพรู เจ้ามิได้ร่วงสู่แผ่นดินแห่งไหนโดยง่าย ลมพาเอากลีบกระจาย ร่วงปลิวพร่างพลิ้วพรายไม่มีที่หมายใด
ดูดังฝูงผึ้งแตกรัง เมื่อไร้กำลังกลีบก็ลงฝังทั่วไป ไร้ผู้จะเหลียวใส่ใจ ไม่มีใครที่ไหนเก็บเอาไปเพื่อไว้บูชา
บางกลีบเขาเหยียบลงแหลกเป็นผงอย่างไร้เมตตา หล่นจมแผ่นดินสิ้นสูญราคา กลิ่นนั้นหนายังหอมมีค่าผูกพัน
จันทน์กะพ้อคือเหล่าสตรี มีราคีเพราะชายขยี้พรหมจรรย์ ความสาวแหลกเหลวสิ้นพลัน ไร้ค่าผูกพันเหมือนจันทน์กะพ้อร่วงพรู"
หลายครั้งหลายคราว ที่มีคนนำเอานวนิยายเรื่อง "แผ่นดินของเรา" ไปสร้างเป็นภาพยนตร์ และละครผู้เขียนก็พยายามตามไปดู และหลายครั้งก็มีความรู้สึกเป็นเดือดเป็นแค้นที่ผู้สร้างบางคน ทำออกมาเหมือนทำลายบทประพันธ์อันอมตะอันทรงค่านี้
และข้าพเจ้าไม่มีวันลืม บทกลอนอันประทับใจยิ่งที่ นภาลัย ฤกษ์ชนะ ( สุวรรณธาดา) รจนาความสะเทือนใจของเธอออกมา ในวันที่รู้ว่า ครูมาลัย หมดลมหายใจจากโลกนี้ไป จนกลายเป็นวรรคทองว่า "แม้ไม่เหลือมาลัยในปฐพี แต่ยังมีมาลัยคล้องใจคน" เพราะบทประพันธ์นับพันๆ ชิ้น จะยังคงให้คุณค่าแก่ชาวโลกไปตราบนานเท่านาน
เรื่องโดย : ประยอม ซองทอง
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน พฤษภาคม ปี 2549
คอลัมน์ Online : ชีวิตคือความรื่นรมย์
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/52815