ประกันภัย
ประกันภัยรถยนต์กับคนรุ่นใหม่ (19)
ฉบับนี้จะขอคุยต่อเนื่องจากฉบับที่แล้ว เรื่องการประกันภัยตาม พรบ. ที่มีการแก้ไขกฎหมายพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ (ฉบับที่ 4) ปี 2550 โดยเฉพาะเรื่องการยกเลิกเครื่องหมายแสดงว่ามีการประกันความเสียหายสำหรับผู้ประสบภัยจากรถ และกรมการประกันภัยได้กำหนด แนวทางปฏิบัติตามพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ (ฉบับที่4) ปี 2550 ซึ่งฉบับที่แล้วเราคุยย้อนไปถึงเจตนารมณ์อันเป็นที่มาของ พรบ.คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ เพื่อให้การบังคับใช้กฎหมายมีประสิทธิผลตามเจตนารมณ์ใน พรบ. นี้จึงได้กำหนดบทลงโทษสําหรับผู้ฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ ปี 2535 ไว้ด้วย กล่าวคือ
เมื่อทำประกันภัยผู้เอาประกันภัยจะได้รับกรมธรรม์คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ พร้อมเครื่องหมายที่แสดงว่ามีการประกันภัย เครื่องหมายดังกล่าวต้องติดไว้ที่กระจกหน้ารถด้านใน หรือติดไว้ในที่สามารถมองเห็นได้ชัดเจน การไม่ติดเครื่องหมายมีโทษปรับไม่เกิน 1,000 บาท (บทลงโทษนี้ได้ถูกยกเลิกตาม พรบ. ที่มีการแก้ไขกฎหมายพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ (ฉบับที่ 4) ปี 2550 )
- เจ้าของรถ หรือผู้เช่าซื้อรถผู้ใด ไม่จัดให้มีการประกันภัยตาม พรบ. นี้ ต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 10,000 บาท
- ผู้ใดนำรถที่ไม่ได้จัดให้มีการประกันภัยตาม พรบ. นี้มาใช้ ต้องระวางโทษปรับไม่เกิน10,000 บาท
- เจ้าของรถ หรือผู้เช่าซื้อรถผู้ใด ไม่ติดเครื่องหมายแสดงว่ามีการประกันภัยตาม พรบ. นี้ต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 1,000 บาท (บทลงโทษนี้ได้ถูกยกเลิกตาม พรบ. ที่มีการแก้ไขกฎหมายพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ (ฉบับที่ 4) ปี 2550 )
- ผู้ประสบภัยผู้ใดยื่นคำขอรับชดใช้ค่าเสียหายเบื้องต้น โดยทุจริต หรือแสดงหลักฐานอันเป็นเท็จ เพื่อขอรับค่าเสียหายเบื้องต้นตามกฎหมายนี้ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปีหรือปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
- บริษัทประกันวินาศภัยซึ่งได้รับอนุญาตให้ประกอบกิจการรับประกันภัยรถบริษัทใดฝ่าฝืนไม่ยอมรับประกันภัยตามกฎหมายนี้ ต้องระวางโทษปรับตั้งแต่ 50,000-250,000 บาท
- เมื่อมีความเสียหายเกิดขึ้นแก่ผู้ประสบภัยจากรถที่บริษัทได้รับประกันภัยไว้ หากบริษัทใดไม่จ่ายค่าเสียหายเบื้องต้นให้แก่ผู้ประสบภัย (หรือทายาท) ให้เสร็จสิ้นภายใน 7 วัน นับแต่วันที่ได้รับการร้องขอจากผู้ประสบภัย ต้องระวางโทษ ปรับตั้งแต่ 10,000-50,000 บาท
- ผู้ใดปลอมเครื่องหมาย ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 6 เดือนถึง 5 ปี และปรับตั้งแต่ 10,000- 100,000 บาท
- ผู้ใดติดหรือแสดงเครื่องหมายอันเกิดจากการปลอมเครื่องหมายกับรถคันหนึ่งคันใด ต้องระวางโทษเช่นเดียวกับการปลอมเครื่องหมาย
- เจ้าของรถผู้ใดติดเครื่องหมาย หรือแสดงเครื่องหมายที่ต้องส่งคืนต่อนายทะเบียน หรือเครื่องหมายที่ใช้ต่อไปไม่ได้แล้ว ต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 5,000 บาท ทั้งนี้กรมการประกันภัยได้กำหนดตารางอัตราเปรียบเทียบปรับ เป็นลำดับครั้งที่ทำความผิด (เฉพาะโทษปรับที่ไม่มีโทษจำคุก) เพื่อให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ และเจ้าพนักงานที่เกี่ยวข้องได้ใช้เป็นแนวทางลงโทษผู้ฝ่าฝืน พรบ. ดังตารางท้ายนี้ตารางอัตราเปรียบเทียบปรับตามพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ ปี 2535ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ (ฉบับที่ 3) ปี 2540
[table]
มาตรการ ,อัตราเปรียบเทียบปรับ
เจ้าของรถต้องจัดให้มีการประกันความเสียหาย ,ความผิดครั้งที่ 1 เปรียบเทียบปรับ 500 บาท
สำหรับผู้ประสบภัยโดยประกันภัยกับบริษัท ,ความผิดครั้งที่ 2 เปรียบเทียบปรับ 1000 บาท
(มาตรา 7 และ มาตรา 9) ,ความผิดครั้งที่ 3 เปรียบเทียบปรับ 5000 บาท
โทษ ปรับไม่เกิน 10000 บาท ,ความผิดตั้งแต่ครั้งที่ 4 ขึ้นไป เปรียบเทียบ ปรับ 10000 บาท
(มาตรา 37),
มาตรการ ,อัตราเปรียบเทียบปรับ
ห้ามมิให้ผู้ใดใช้รถที่ไม่ได้จัดให้มีการประกัน ,ความผิดครั้งที่ 1 เปรียบเทียบปรับ 500 บาท
ความเสียหายสำหรับผู้ประสบภัย ,ความผิดครั้งที่ 2 เปรียบเทียบปรับ 1000 บาท
(มาตรา 11) โทษ ,ความผิดครั้งที่ 3 เปรียบเทียบปรับ 5000 บาท
ปรับไม่เกิน 10000 บาท (มาตรา 39) ,ความผิดตั้งแต่ครั้งที่ 4 ขึ้นไป เปรียบเทียบปรับ 10000 บาท
มาตรการ ,อัตราเปรียบเทียบปรับ
เจ้าของรถต้องติดเครื่องหมายไว้ที่รถ ,ความผิดครั้งที่ 1 เปรียบเทียบปรับ 200 บาท
(มาตรา 12 วรรคสอง) โทษ ปรับไม่เกิน ,ความผิดครั้งที่ 2 เปรียบเทียบปรับ 400 บาท
1000 บาท (มาตรา 40) ,ความผิดครั้งที่ 3 เปรียบเทียบปรับ 800 บาท
,ความผิดตั้งแต่ครั้งที่ 4 ขึ้นไป เปรียบเทียบปรับ 1000 บาท
[/table]
(บทลงโทษนี้ได้ถูกยกเลิกตาม พรบ. ที่มีการแก้ไขกฎหมายพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ (ฉบับที่ 4) ปี 2550 )
บทลงโทษตาม พรบ.นี้ในแง่เจตนารมณ์ของกฎหมาย ถือว่าเป็นหลักการที่ดีและถูกต้องเลยทีเดียวแต่ในแง่ของทางปฏิบัติในสังคมบ้านเมืองของเราอาจเรียกว่า "เป็นวัฒนธรรมศาลเตี้ยหรือใต้โต๊ะ" เลยก็ว่าได้ เพราะผู้ที่มีหน้าปฏิบัติ และผู้ฝ่าฝืนตลอดจนผู้เกี่ยวข้องทั้งทางตรงและทางอ้อมไม่ได้ทำให้เจตนารมณ์ของกฎหมายได้รับการตอบสนอง บทลงโทษมันไม่ได้สร้างความศักดิ์สิทธิให้พรบ.ฉบับนี้ ในทางตรงกันข้ามมันกลับถูกใช้เป็นช่องทางทำมาหากินหาประโยชน์ของบางคนบางหน่วยงาน
เราจะมาคุยถึงเส้นทางหาผลประโยชน์จากประกันตาม พรบ. คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถนี้ ในฉบับหน้าขอให้คอยติดตามต่อกันนะครับ
เรื่องโดย : กฤชกมล นิติธรรมโกศล
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน สิงหาคม ปี 2550
คอลัมน์ Online : ประกันภัย
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/53279