ปฏิเสธไม่ได้ ว่าการเลือกซื้อรถในปัจจุบัน รถยนต์ไฟฟ้า (ELECTRIC VEHICLE) เป็นตัวเลือกอันดับต้นๆ และ “WALL CHARGER” ก็เป็นของคู่กันที่จะขาดไม่ได้ DIY…คุณทำเองได้ ฉบับนี้ ขอแนะนำวิธีการชาร์จไฟด้วย WALL CHARGER
การไฟฟ้านครหลวงแนะนำว่า หากต้องการชาร์จรถ EV ให้ปลอดภัย ต้องติดตั้ง WALL CHARGER แบบ MODE 3 ซึ่งรับกระแสไฟได้ 16-32A มีสายสัญญาณสื่อสารกับระบบชาร์จ และอุปกรณ์ป้องกันไฟรั่ว ทำให้สามารถชาร์จได้เต็มประสิทธิภาพของรถยนต์แต่ละรุ่น และมีระบบตัดไฟเมื่อชาร์จเต็ม หรือกระแสไฟเกิน ความร้อนเกิน เป็นต้น
สายชาร์จที่แถมมากับรถ เป็นเพียง EMERGENCY CHARGE ไว้ใช้ยามฉุกเฉินเท่านั้น ไม่ควรใช้เป็นประจำ เนื่องจากสายไฟบ้านทั่วไปทนกระแสไฟได้ 10A หรือน้อยกว่า แต่สายชาร์จแถม สามารถดึงกระแสไฟได้สูงสุดถึง 12A ซึ่งเกินจากสายไฟบ้านรับได้ อาจทำให้เกิดความร้อนสะสม ซึ่งหากใช้เป็นเวลานานจะทำให้สายไฟ และเต้ารับมีอุณภูมิสูง
ระยะเวลาการชาร์จขึ้นอยู่กับกำลังไฟของเครื่องชาร์จ WALL CHARGER, ขนาดแบทเตอรี และสเปคของรถ ควรชาร์จไฟจนเต็มทุกสัปดาห์ เพื่อกระตุ้นเซลล์เก็บประจุให้ทำงาน ช่วยลดการเสื่อมของแบทเตอรี ในระยะยาว
1. สายชาร์จไฟ
2. การ์ดสั่งชาร์จ
3. ถุงมือ
4. ผ้าสะอาด
1. นำผ้าแห้งสะอาด เช็ดบริเวณหัวจ่าย WALL CHARGER และเต้ารับที่รถให้สะอาด
2. เสียบสายชาร์จ TYPE 2 หัวเล็ก เข้า WALL CHARGER ให้แน่น
3. นำสายชาร์จข้างที่เหลือ TYPE 2 หัวใหญ่ เสียบเข้ากับตัวรถ
4. นำการ์ดไปแตะบริเวณ WALL CHARGER เพื่อทำการสั่งชาร์จไฟ
5. ดูสถานะการชาร์จที่หน้าจอ ถ้าหน้าจอขึ้นกำลังชาร์จถือว่าทำถูก
6. สำหรับบางรุ่น หากชาร์จแล้วไฟไม่เข้า ให้ทำการลอครถก่อน ถึงจะชาร์จได้
7. เมื่อชาร์จไฟเต็มแล้ว ให้ปลดลอครถ ใช้การ์ดแตะ WALL CHARGER เพื่อสั่งปิด
8. ถอดสายชาร์จฝั่ง WALL CHARGER ออกก่อน แล้วจึงถอดที่ตัวรถ เป็นอันเสร็จ