รถจีนบแรนด์ใหม่ๆ ทยอยเปิดตัวในตลาดบ้านเราอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ตลาดรวมหดตัวลงอย่างชัดเจน ซึ่งหมายความว่า บแรนด์ใหม่เหล่านั้น ถ้าจะอยู่รอด ก็ต้องหาทางแย่งส่วนแบ่งจากบแรนด์เก่า ไม่ว่าจะของญี่ปุ่น เกาหลี ยุโรป หรือแม้แต่พวกเดียวกันเอง ให้ได้
ในทางตรงกันข้าม บแรนด์เก่าก็ต้องพยายามปกป้องส่วนแบ่งของตนอย่างสุดชีวิต ด้วยทุกวิถีทางที่มี
สมมติว่า ตลาดเป็นสมรภูมิที่มีกองทัพ 2 ฝ่ายกำลังห้ำหั่นกัน คือ ทัพจีน กับทัพฝ่ายที่เหลือ ผลแพ้ชนะของสงครามชิงตลาดครั้งนี้ยังไม่ปรากฏชัดเจนก็จริง แต่ก็พอจะบอกได้ว่า ฝ่ายไหนกำลังได้เปรียบเสียเปรียบกันอยู่ ซึ่งเมื่อพิจารณาแล้ว ถึงช่วงหลังๆ มานี้จีนจะดูเหมือน “ออกอาการ” แต่ในสายตาผม กองทัพแดนมังกรยังน่าจะเป็นฝ่ายได้เปรียบ ด้วยปัจจัย 2-3 ประการ
ประการแรก จีนครองตลาดรถไฟฟ้าได้เบ็ดเสร็จ ตอนนี้แทบไม่มีใครตั้งคำถามรถไฟฟ้าจีนเรื่องคุณภาพ ส่วนเรื่องราคาที่ไม่แน่นอน อาจทำให้ลูกค้าใหม่ลังเล แต่ถ้าค่าตัวปัจจุบันมันสมเหตุสมผล การตัดสินใจคงไม่ยาก
ตลาดรถไฟฟ้า ยิ่งมองในระยะยาว จีนยิ่งได้เปรียบ เพราะเป็นผู้ผลิตแบทเตอรี ซึ่งเป็นชิ้นส่วน และต้นทุนสำคัญของรถไฟฟ้า จึงสามารถบริหารจัดการเรื่องราคาได้ง่ายกว่าบแรนด์คู่แข่งสัญชาติอื่น
ประการที่สอง คือ จีนพร้อมเล่นทุกตลาด ตลาดรถไฟฟ้าไม่ต้องพูดถึง ครบถ้วนตั้งแต่ทั้งรถเล็ก รถหรู ยันรถพิคอัพ นอกจากนี้ ช่วงหลัง จีนยังเริ่มบุกตลาดไฮบริดอย่างเป็นเรื่องราว หลังจากภาครัฐส่งสัญญาณส่งเสริมรถไฮบริดควบคู่ไปกับรถไฟฟ้า
ฉะนั้น ถึงตลาดรถไฟฟ้าจะชะลอตัว พี่จีนก็ไม่กลัว เพราะเตรียมทางหนีทีไล่ไว้แล้ว
สุดท้าย ทุกคนทราบกันดีว่า สาเหตุสำคัญที่ทำให้ตลาดรถหดตัวอย่างรุนแรง เป็นเพราะสถาบันการเงินเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อรถยนต์ เนื่องจากปริมาณหนี้เสียเพิ่มสูงอย่างต่อเนื่อง
เรื่องนี้สร้างปัญหาให้บรรดาผู้จำหน่ายรถส่วนใหญ่ รวมถึงบแรนด์จีนด้วย แต่อย่าลืมนะครับว่า จีนนั้นทุนหนากว่าใคร และถนัดในการใช้เงินแก้ปัญหา ถ้าวันใดวันหนึ่ง รถจีนสามารถจัดไฟแนนศ์เองได้ วันนั้นสถาบันการเงินของเราจะหมดความหมาย และสินเชื่อจะไม่ใช่อุปสรรคของรถจีนอีกต่อไป
ทั้งหมดทั้งมวลเป็นการวิเคราะห์ตามเนื้อผ้า แต่ลึกๆ แล้วผมเอาใจช่วยทุกฝ่าย ไม่ว่าจะสัญชาติใด ผลิตรถประเภทใด ขออวยพรให้รอดปลอดภัยไปด้วยกัน
บทความแนะนำ