ช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา ในตลาดบ้านเรามีรถเปิดตัวใหม่หลายรุ่น โดยเฉพาะรถจีน ซึ่งส่วนใหญ่กด “ราคาช่วงแนะนำ” ต่ำจนไม่รู้จะดีใจ หรือตกใจดี
ที่แน่ๆ มันเป็นสัญญาณว่า สงครามราคาในบ้านเรายังไม่จบ ง่ายๆ แถมทำท่าจะบานปลายขยายวงไปถึงคู่แข่งสัญชาติอื่นอีกต่างหาก ซึ่งตรงกันข้ามกับในประเทศจีน จุดต้นตอของสงคราม ที่ข่าวล่าสุดแจ้งว่า รัฐบาลจีนเริ่มออกมาตรการควบคุมภาวะ INVOLUTION หรือการแข่งขันที่เหนื่อยเปล่า ในอุตสาหกรรมยานยนต์แล้ว โดยออกเรียกบริษัทรถยนต์รายใหญ่ เช่น BYD (บีวายดี) และ GWM (กเรท วอลล์ มอเตอร์) มาเตือนให้เร่งชำระเงินแก่ซัพพลายเออร์ และหยุดการลดราคาอย่างฮวบฮาบ ซึ่งส่งผลต่อกำไรของทั้งห่วงโซ่อุตสาหกรรมอย่างรุนแรง จนผู้จัดจำหน่ายกว่า 50 % ในจีนต้องเผชิญการขาดทุน นอกจากนี้ ยังทำให้ยอดขายรถยนต์โดยรวมเติบโตช้าลงอย่างชัดเจน จาก 18 % ในเดือนมิถุนายน เหลือเพียง 6.3 % ในเดือนกรกฎาคม
หันกลับมามองบ้านเรา ขณะที่รัฐบาลจีนพยายามยุติสงครามราคาด้วยการจัดระเบียบการแข่งขัน รัฐบาลไทยกลับเร่งให้เกิดการแข่งขันด้านราคาอย่างรุนแรง ด้วยการลดภาษี และอัดฉีดเงินอุดหนุนให้ผู้ผลิตรถไฟฟ้า แม้ผู้บริโภคจะได้ซื้อรถถูก แต่ก็ต้องแลกกับความไม่แน่นอนด้านบริการหลังการขาย และความไม่น่าเชื่อถือของบริษัทแม่ ที่ไม่รู้ว่าวันไหนจะล้มหายตายจากไปโดยไม่ร่ำลา
ถ้ามองในแง่ดี หากจีนสามารถควบคุมสงครามราคาได้สำเร็จ ตลาดของเขาอาจเริ่มฟื้นตัว กลุ่มซัพพลายเออร์ และดีเลอร์กลับมามีกำไร และมีเสถียรภาพ การแข่งขันในตลาดไทยก็อาจลดความกดดันลง
อย่างไรก็ตาม ผมเชื่อว่า ในระยะสั้น รถจีนยังต้องอาศัยการลดราคาเป็นกลยุทธ์หลัก เพราะผู้บริโภคไทยนิยมของถูก และถูกกว่า รวมทั้งมีความกังวลเรื่องสินเชื่อ และภาระหนี้ครัวเรือน จึงจำเป็นต้องใช้เงินอย่างระมัดระวังเป็นพิเศษ
ถ้าถามว่า รัฐบาลไทยควรแอคชันอย่างไรกับปัญหานี้ คำตอบง่ายๆ คือ อย่าล้อเล่นกับระบบ ปล่อยให้การแข่งขันเป็นไปตามกลไกตลาด และกลยุทธ์ธุรกิจของภาคเอกชน ส่วนรัฐไม่ต้องพยายามอะไรมากไปกว่า ดูแลให้แต่ละบริษัทที่ได้รับการสนับสนุนทำตามเงื่อนไขที่ตกลงกันไว้ พร้อมกับต้องไม่ลืมว่า หน้าที่สำคัญของรัฐบาล คือ การปกป้องผลประโยชน์ของผู้บริโภคอย่างพวกเรา
ไม่ใช่ผลประโยชน์ผู้ผลิตฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง !
บทความแนะนำ