สถานการณ์ตลาดรถยนต์ไทยในปี 2568 ที่ผ่านพ้นไป อยู่ในอาการ “ทรง” เมื่อเทียบกับปี 2567 ที่ยอดขายตกต่ำที่สุดในรอบกว่าทศวรรษ เนื่องจากผู้บริโภคส่วนใหญ่ยังชะลอการซื้อ ด้วยสาเหตุเดิม คือ หนี้ครัวเรือนสูง และเข้าถึงสินเชื่อยาก
ขณะเขียนบทความนี้ ข้อมูลจากสภาอุตสาหกรรมฯ ระบุว่า ในช่วงเดือนมกราคมถึงกันยายน 2568 ยอดขายรถใหม่รวมอยู่ที่ 447,969 คัน ซึ่งสูงกว่าช่วง 3 ไตรมาสแรกของปี 2567 เพียง 2.1 %
อย่างไรก็ตาม ในรายละเอียดยังมีกลุ่มที่เติบโตสูงกว่าค่าเฉลี่ย นั่นคือกลุ่มไฮบริด (HEV) และพลัก-อิน ไฮบริด (PHEV) ที่ตอบโจทย์ผู้บริโภคที่อยากประหยัดน้ำมัน แต่ไม่มั่นใจเทคโนโลยี และบแรนด์ใหม่ๆ ตลอดจนโครงสร้างพื้นฐานที่ขยายตัวช้า และไม่ทั่วถึง
ด้านการส่งออก ซึ่งเคยเป็นจุดแข็งของอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย ยอดรวมถึงเดือนกันยายนปีนี้ ลดลงจากปีก่อนราว 8.5 % เพราะมาตรการควบคุมมลพิษจากเครื่องยนต์สันดาปในตลาดต่างประเทศ และการรุกตลาดอีวีของจีน โดยเฉพาะรถกระบะ และรถนั่งราคากลางๆ ซึ่งจีนสามารถผลิตได้ถูกกว่า แถมยังปลอดมลพิษ
สำหรับปีนี้ (2569) เรื่องยอดขายในประเทศ และส่งออก อาจจะฟันธงยาก (แต่เดาไม่ยาก) เพราะขึ้นกับปัจจัยหลายอย่าง โดยเฉพาะภาษีสรรพสามิตรถยนต์ใหม่ (เริ่มตั้งแต่ 1 มกราคม 2569) ที่ใช้เกณฑ์การปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ หรือ CO₂ เป็นตัววัดหลัก รถที่ปล่อยไอเสียน้อย หรือใช้พลังงานสะอาดจะเสียภาษีน้อยลง ส่วนรถเครื่องใหญ่ หรือปล่อยมลพิษมากจะโดนภาษีสูงขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้ราคาจำหน่ายรถต้องมีการปรับเปลี่ยนอย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตาม ถ้าโฟคัสเฉพาะด้านเทคโนโลยี ปี 2569 จะเป็นปีแห่งการปรับฐานสู่ยุคพลังงานหลากหลายที่ชัดเจนยิ่งขึ้น
จุดที่น่าสนใจ คือ หลังจากผ่านยุคเห่อของใหม่ มาจนถึงยุคซื้อก่อนแพงกว่า ผู้บริโภคดูเหมือนจะเริ่มได้สติ เลือกรถตามการใช้งาน ความพร้อม และความสะดวกของตัวเองมากขึ้น
ภาพรวม คือ รถสันดาป (ICE) ยังมีบทบาทสูงสุดในตลาด รถไฮบริด ซึ่งเป็นทางออกระหว่างสองพลังงาน ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ส่วนรถไฟฟ้าก็ขยายตัวในกลุ่มคนที่ต้องการเทคโนโลยีทันสมัย และต้นทุนการใช้งานที่ต่ำกว่า
เมื่อแนวโน้มเป็นเช่นนี้ อุตสาหกรรมยานยนต์ไทยจึงต้องปรับตัวให้สามารถตอบสนองการใช้งานพลังงานที่หลากหลาย
ผู้ผลิตที่ยึดติดกับพลังงานประเภทใดประเภทหนึ่งจะเสียเปรียบ ขณะที่พวกเล่นไพ่หลายหน้า ทั้งเบนซิน ดีเซล ไฮบริด และไฟฟ้า จะอยู่รอดได้ยาวๆ นั่นคือเหตุผลที่เราได้เห็นค่ายญี่ปุ่นเริ่มทยอยออก HEV และ PHEV เพื่อรักษาฐานลูกค้าเดิม ขณะที่ค่ายจีน แม้ยังคงรุกตลาดไฟฟ้าต่อเนื่อง แต่ก็เริ่มใส่ใจตลาดไฮบริดเพิ่มขึ้น
ดังนั้น หากรัฐบาล (ใหม่) วางนโยบายสนับสนุนทุกเทคโนโลยีพลังงานให้เติบโตสอดคล้องกับความต้องการของตลาดทั้งในประเทศ และต่างประเทศ ผมเชื่อว่า ไทยจะยังคงความได้เปรียบในการก้าวขึ้นเป็นศูนย์กลางยานยนต์พลังงานหลากหลายแห่งอาเซียน
ส่วนผู้บริโภคที่กระสุนพร้อม ตอนนี้ถือว่าได้ประโยชน์เต็มๆ จากการที่ตลาดมีตัวเลือกมากมาย แถมราคายังแข่งกันหวานเจี๊ยบอีกต่างหาก แต่ก็ต้องไม่ลืมพิจารณาเรื่องบริการหลังการขายของแต่ละค่ายด้วย โดยเฉพาะค่ายที่เป็นพ่อค้าหน้าใหม่
เดี๋ยวจะหาว่า “ลุงใจดี” ไม่เตือน !
บทความแนะนำ

