ก่อนอื่น ผมต้องขอแสดงความยินดีกับสมาชิกสมาคมรถโบราณแห่งประเทศไทย นักสะสม และอนุรักษ์รถเก่า ผู้เกี่ยวข้องในวงการรถโบราณ ตลอดจนคนรักรถโบราณทั่วประเทศ ซึ่งผมเชื่อว่ามีจำนวนไม่น้อย ที่ราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 12 กันยายน 2568 ได้ประกาศกำหนด “พิกัดอัตราภาษีสรรพสามิตสำหรับรถยนต์โบราณ” เป็นครั้งแรกของประเทศไทย
กฎหมายที่ว่านี้ ไม่ได้สำคัญแค่เรื่องตัวเลขภาษี แต่มันคือการแสดงว่า รถโบราณได้รับการยอมรับคุณค่าในสถานะมรดก และสมบัติทางวัฒนธรรม รวมถึงเป็นซอฟท์เพาเวอร์ที่รัฐพร้อมผลักดันจริงจัง
สาระหลักของประกาศ คือ การเปิดทางให้นำเข้ารถโบราณที่มีอายุ 30-100 ปี โดยเสียภาษีสรรพสามิตในอัตราพิเศษ 45 % ภายใต้เงื่อนไขที่เข้มงวด เช่น รถต้องมีมูลค่าไม่ต่ำกว่า 2 ล้านบาท ต้องเป็นการนำเข้าทั้งคัน (CBU) และต้องมีเอกสารรับรองชัดเจน ซึ่งจะได้รับยกเว้นภาษีศุลกากร ที่สำคัญ คือ ถ้านำเข้ามาเพื่อให้ช่างไทยบูรณะแล้วส่งออกภายใน 2 ปี ผู้ประกอบการจะได้รับสิทธิ์คืนภาษีเต็มจำนวน
เนื่องจากตลาดรถโบราณทั่วโลกมีมูลค่านับแสนล้านเหรียญสหรัฐฯ ประเทศยักษ์ใหญ่อย่าง อังกฤษ ญี่ปุ่น และสหรัฐอเมริกา ต่างก็มีนโยบายเอื้อให้นักสะสม และนักลงทุนขนรถเก่าไปฟื้นฟู หรือนำไปโชว์ในงานต่างๆ ดังนั้น หากไทยทำให้ระบบนำเข้า-บูรณะ-ส่งออกครบวงจรเกิดขึ้น เราจะไม่เพียงได้ภาษี แต่ยังสร้างงานให้ช่างเครื่องยนต์ ช่างเคาะตัวถัง ช่างเย็บหนัง ต่อเนื่องไปจนถึงธุรกิจที่ทำมาหากินกับนักท่องเที่ยว ทั้งโรงแรม ร้านอาหาร ห้างสรรพสินค้า ศูนย์นิทรรศการ ฯลฯ
เอาง่ายๆ ถ้างานประกวดรถโบราณ และงานเพชรบุรี-หัวหิน วินเทจ คาร์ พาเหรด ที่เราจัดเป็นประจำทุกปี มีรถโบราณ “หน้าใหม่” จากทั่วโลกยกขบวนมาร่วมงานอย่างคึกคัก ผมมั่นใจว่า จะดึงดูดนักท่องเที่ยวได้มากมาย เช่นเดียวกับงานประเภทเดียวกันที่อังกฤษ หรือสหรัฐฯ อย่างแน่นอน
ยิ่งกว่านั้น ปัจจุบันเป็นยุคของธุรกิจขาย “เรื่องเล่า” หรือ STORY TELLING ซึ่งก็เข้าลอคพอดีกับรถโบราณ เพราะในความเห็นผม รถโบราณ คือ เรื่องเล่าชั้นดี และเรื่องเล่านี้สามารถสร้างเงิน สร้างงาน และสร้างชื่อเสียงให้แก่ประเทศ จนอาจทำให้เรากลายเป็นฮับของนักสะสมรถโบราณ และธุรกิจการบูรณะ จัดแสดง ซื้อขายรถโบราณในภูมิภาคนี้ได้ไม่ยาก
เรื่องทั้งหมด เมื่อก่อนอาจเป็นเพียงฝันกลางวัน แต่ในอนาคตอันใกล้มีโอกาสเป็นจริง
ปัญหา คือ ถึงตอนนี้ กระบวนการอนุญาตนำเข้ารถโบราณยังไม่เสร็จสิ้น เพราะเป็นงานที่ต้องบูรณาการกันหลายหน่วย นี่เพิ่งแค่กรมสรรพสามิตหน่วยเดียวที่ประกาศเงื่อนไขในส่วนที่รับผิดชอบออกมา ยังเหลือกรมการค้าต่างประเทศ เรื่องออกใบอนุญาตนำเข้า กรมศุลกากร เรื่องอากรขาเข้าที่ชัดเจน กรมควบคุมมลพิษ เรื่องมาตรฐาน และเกณฑ์การปล่อยไอเสียสำหรับรถเก่า กรมการขนส่งทางบก เรื่องการจดทะเบียน และออกป้ายทะเบียนพื้นดำตัวอักษรขาว ไปจนถึงสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เรื่องจะอนุญาตให้รถเหล่านี้วิ่งบนท้องถนนในวันเวลาใด ทั้งหมดนี้ ยังไม่รวมเรื่องงานเอกสารของแต่ละหน่วยงาน ที่จะต้องไม่ยาก หรือซับซ้อน จนเปิดโอกาสให้เจ้าหน้าที่ใช้เป็นเงื่อนไขเรียกรับค่าบริการพิเศษได้
สรุปก็คือ ยังต้องปลดลอคอีกหลายชั้น ซึ่งถ้าไม่เร่งสรุปให้จบในรัฐบาลนี้ ก็มีสิทธิ์ที่กระบวนการต่างๆ จะเนิ่นนานช้าออกไปจากความไม่แน่นอนทางการเมือง เท่ากับไทยจะพลาดโอกาสทองในการดึงเม็ดเงินเข้าประเทศอย่างน่าเสียดาย
รถโบราณกำลังจะมาหาเราแล้ว รอแค่การเปิดทางที่สะดวก รวดเร็ว และโปร่งใสเท่านั้น ฝากการบ้านรัฐบาลใหม่จัดการให้เสร็จภายใน 4 เดือน คงไม่ยากเกินไปนะครับ !?!