แม้ช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา รถไฟฟ้าจะได้รับความนิยมในบ้านเราอย่างรวดเร็ว แต่หลังจากเกิด “สงครามราคา” ในกลุ่มรถไฟฟ้า บวกกับกระแส “ปากต่อปาก” จากผู้ใช้จริงถึงความไม่สะดวกในการใช้ จากความไม่พร้อม และระบบสาธารณูปโภค ทำให้รถไฮบริดที่ประหยัดกว่ารถน้ำมัน และใช้งานไม่ยุ่งยากเท่ารถไฟฟ้า กลายเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจขึ้นมา และบางทีอาจเป็นตัวพลิกเกมในตลาดรถบ้านเราก็เป็นได้
จากการสำรวจตลาดรถยนต์ NEV (NEW ENERGY VEHICLE) ประเทศไทยในปี 2567 ที่ผ่านมา พบว่า รถยนต์ไฮบริดทำยอดขายดีกว่าแบบไฟฟ้าล้วน จึงไม่น่าแปลกใจที่ปีนี้ เราจะเห็นรถยนต์ไฮบริดในตลาดมากขึ้น
รถยนต์ไฮบริดในปัจจุบันมีเทคโนโลยีที่หลากหลายขึ้น โดยแบ่งเป็นกลุ่มใหญ่ๆ ได้ดังนี้
HEV (HYBRID ELECTRIC VEHICLE) - เป็นรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า โดยเครื่องยนต์จะทำงานควบคู่กับมอเตอร์ไฟฟ้า เพื่อช่วยลดการใช้พลังงานจากน้ำมัน ไม่ต้องการการชาร์จไฟฟ้าจากภายนอก เหมาะกับกลุ่มผู้บริโภคที่เน้นเดินทางไกล
PHEV (PLUG-IN HYBRID ELECTRIC VEHICLE) - เป็นรถยนต์ที่มีทั้งเครื่องยนต์สันดาป และมอเตอร์ไฟฟ้าเช่นเดียวกับ HEV แต่สามารถชาร์จไฟจากปลั๊กไฟภายนอกได้ ขับขี่ด้วยไฟฟ้าอย่างเดียวได้ราว 30-50 กม. ทำให้ประหยัดน้ำมันมากขึ้นในระยะทางสั้นๆ
EREV (EXTENDED RANGE ELECTRIC VEHICLE) - เป็นรถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าเป็นหลัก โดยเครื่องยนต์จะทำหน้าที่เป็นเครื่องกำเนิดไฟฟ้าเพื่อชาร์จแบทเตอรีเมื่อพลังงานไฟฟ้าลดลง ช่วยให้รถมีระยะทางการขับขี่ที่ยาวนานขึ้น เป็นอีกหนึ่งนวัตกรรมใหม่ที่จะเข้ามามีบทบาทสำคัญในตลาดบ้านเรา
เมื่อตลาดมีแนวโน้มสดใส ยักษ์ใหญ่ 2 สัญชาติจึงพัฒนาเทคโนโลยีไฮบริดที่ทันสมัย ออกมาแข่งขันกัน โดยไฮบริดญี่ปุ่นอาจได้เปรียบที่พิสูจน์ประสิทธิภาพที่เชื่อถือได้มายาวนาน แต่ไฮบริดน้องใหม่จากจีนก็ไม่น้อยหน้า นำเทคโนโลยีที่ก้าวล้ำ มีประสิทธิภาพสูง และราคาที่เข้าถึงง่าย เข้าช่วงชิงตลาดอย่างเข้มข้น
จุดเด่น : มีการคิดค้น และพัฒนาประสิทธิภาพการใช้ระบบไฮบริดมาหลายทศวรรษ ประหยัดพลังงาน และปลอดภัย มั่นใจในการใช้งานระยะยาว
จุดด้อย : เทคโนโลยีมีความซับซ้อน การซ่อมบำรุงค่อนข้างยุ่งยาก รวมถึงราคาแบทเตอรี และอะไหล่สูง
ครอสส์โอเวอร์ขนาดเล็ก MITSUBISHI X-FORCE (มิตซูบิชิ เอกซ์-ฟอร์ศ) ขุมพลังเบนซิน 1.6 ลิตร ร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 85 กิโลวัตต์ ให้กำลังสูงสุด 116 แรงม้า แรงบิด 255 นิวทันเมตร ระบบขับเคลื่อน FULL HYBRID เตรียมเปิดตัวในประเทศไทยแห่งแรก พร้อมเปิดไลน์ผลิตในปี 2568
รถซีดานรุ่นยอดนิยม TOYOTA YARIS ATIV HEV (โตโยตา ยารีส เอทีฟ เอชอีวี) ขุมพลังใหม่เบนซิน 1.5 ลิตร กำลังรวม 111 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 141 นิวทันเมตร ทำงานร่วมกับระบบมอเตอร์ไฟฟ้าแบบซิงโครนัสแม่เหล็กถาวร ไฟฟ้ากำลังสูงสุด 80 กิโลวัตต์ ตัวเลือกสำหรับคนเน้นใช้งานรถในเมือง
รถตู้อเนกประสงค์ประตูสไลด์ NISSAN SERENA (นิสสัน เซเรนา) เครื่องยนต์เบนซิน 1.4 ลิตร กำลังสูงสุด 98 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 123 นิวทันเมตร แบบ E-POWER ทำหน้าที่ปั่นไฟไปเก็บยังแบทเตอรี ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า 100 % ใช้เครื่องยนต์เป็นตัวผลิตกระแสไฟฟ้า เพียงแค่เติมน้ำมันตามปกติ
รถซีดานหรูปรับดีไซจ์นใหม่ LEXUS ES (เลกซัส อีเอส) มาพร้อมขุมพลังเบนซิน 2.5 ลิตร ผสานกับมอเตอร์ไฟฟ้าแบบชาร์จไฟในตัวขนาด 88 กิโลวัตต์ กำลังรวม 218 แรงม้า อัตราการปล่อยแกสคาร์บอนไดออกไซด์ต่ำที่ 127 กรัม/กม. สามารถเปลี่ยนระบบขับขี่เป็นแบบ EV
จุดเด่น : สมรรถนะสูง สามารถขับขี่เดินทางได้ไกลกว่ารถน้ำมันทั่วไป ระบบสามารถปรับเปลี่ยนตามรูปแบบการขับขี่ได้มากกว่าไฮบริดทั่วไป ค่าซ่อมบำรุงถูก ราคาเข้าถึงง่าย
จุดด้อย : ระบบมีความปลอดภัยน้อยกว่า ขาดความเสถียรในระบบ การใช้งานจริงอาจไม่ประหยัดเท่าตัวเลขการทดสอบ
เอสยูวีแปลกใหม่ DEEPAL S05 (ดีพอล เอส 05) มีระบบขับเคลื่อนให้เลือกทั้งแบบ BEV และ EREV สำหรับรุ่นไฮบริดติดตั้งมอเตอร์ไฟฟ้า 215 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 320 นิวทันเมตร พร้อมทำงานกับเครื่องยนต์เบนซิน 1.5 ลิตร สำหรับปั่นพลังงานไฟฟ้า สามารถขับขี่ได้ระยะทางไกลสูงสุดถึง 1,234 กม. (CLTC)
พรีเมียมเอสยูวีแบบพลัก-อิน ไฮบริด (PHEV) OMODA C9 (โอโมดา ซี 9) มาพร้อมความหรูหรา และสมรรถนะจากเครื่องยนต์เทอร์โบชาร์จ 1.5 ลิตร ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้าคู่ และแบทเตอรี CATL ขนาด 35.4 กิโลวัตต์ชั่วโมง ให้กำลังรวมสูงสุด 619 แรงม้า แรงบิด 920 นิวทันเมตร วิ่งได้ไกลถึง 1,300 กม. (WLTC)
รถตู้เอมพีวีสายผู้บริหาร GAC M8 (จีเอซี เอม 8) เป็นเจ้าเดียวในตลาดที่ใช้ขุมพลังแบบพลัก-อิน ไฮบริด (PHEV) เครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตร เทอร์โบ บวกมอเตอร์ไฟฟ้า ให้กำลังรวมสูงสุด 373 แรงม้า แรงบิด 630 นิวทันเมตร สามารถวิ่งได้ระยะทางรวมสูงสุด 1,032 กม. (WLTC)
พรีเมียมซีดานสไตล์ฟาสต์แบค DENZA Z9GT (เดนซา เซด 9 จีที) ผสมความหรูหรา และพละกำลัง ด้วยขุมพลังเครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตร เทอร์โบชาร์จ บวกมอเตอร์ไฟฟ้า 3 ตัว พละกำลังรวม 858 แรงม้า วิ่งระยะทางรวมน้ำมันมากถึง 1,100 กม. (NEDC)