หลังได้ไป “กลอเซโล” สมใจ และกราบไหว้ขอพรพระธาตุทั้ง 4 จอม เรียบร้อยแล้ว ในฉบับนี้ “ชีวิตอิสระ” จะพาไปสัมผัส “บ้านศาลาโบราณ” อายุกว่าร้อยปีกลางป่าในอุทยานแห่งชาติสาละวิน ที่สวยงาม แต่เต็มไปด้วยเรื่องราวที่น่ากลัว
อย่างที่รู้กัน ครั้งนี้เราเดินทางด้วยรถไฟฟ้าสายลุย JACOO 6 EV (เจคู 6 อีวี) เพื่อพิสูจน์สมรรถนะระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ของรถยนต์ไฟฟ้า ในเส้นทางสุดหินอย่าง “กลอเซโล” ที่ยังไม่เคยมีใครนำรถไฟฟ้าขึ้นไปมาก่อน และหวังว่า JACOO 6 EV ครั้งนี้ จะผ่านไปได้อีกเช่นกัน
เราเดินทางจากตัวเมืองแม่สะเรียง มุ่งหน้าไปยังที่ทำการอุทยานแห่งชาติสาละวิน ระยะทางประมาณ 55 กม. และต้องวิ่งเข้าไปอีกพักใหญ่ ผ่านเส้นทางธรรมชาติ โดยต้องข้ามน้ำอีก 5 ห้วย เพื่อไปให้ถึงบ้านศาลาโบราณกลางป่า JACOO 6 EV AWD ไม่ทำให้ผิดหวัง กำลังรวม 279 แรงม้า พร้อมแรงบิด 46.1 กก.ม. ผ่านได้อย่างสบาย ไม่นานนักก็มาถึง
ศาลาโบราณกลางป่าแห่งนี้ ถูกสร้างขึ้นเพื่อใช้เป็นที่พักสำหรับเดินทางไปทำไม้ และเหมืองแร่ รวมถึงเป็นจุดพักไม้ที่ขนมาจากจุดต่างๆ หรือเรียกอีกอย่างว่า “ปางไม้” เมื่อ 100 กว่าปีที่แล้ว
“ขุนจันต๊ะ” ได้ทำการค้าไม้ ร่วมกับบริษัท “บอมเบย์เบอร์ม่า” โดยเช่าพื้นที่จากรัฐบาลสยาม ซึ่งได้รับสัมปทานให้เช่าทำการค้าไม้ และแร่ เป็นเวลา 50 ปี โดยเสียค่าตอบแทนให้เจ้าครองนครเชียงใหม่
หลังจากที่รัฐบาลได้ยกเลิกการสัมปทานป่าไม้ไป ศาลาแห่งนี้จึงได้ถูกใช้เป็นสถานที่พักพิงสำหรับชาวบ้านที่เดินทางไปมาค้าขาย แลกเปลี่ยนสินค้า และเป็นที่พักพิงยามเจ็บไข้ได้ป่วยของชาวบ้าน เนื่องจากการเดินทางในอดีตนั้นยากลำบากมาก ต้องเดินเท้า และใช้วัวเทียมเกวียนเท่านั้น ซึ่งใช้เวลาหลายวันหลายคืนกว่าจะถึงตัวเมือง ชาวบ้านที่เดินทางผ่านเส้นทางนี้ จึงมักเรียกศาลาแห่งนี้ว่า “ศาลาขุนจันต๊ะ”
ศาลาขุนจันต๊ะ หรือศาลาโบราณ สร้างขึ้นระหว่างปี 2462-2474 โดยขุนจันต๊ะ ตาวากุล นักธุรกิจทำไม้ และเหมืองแร่ ปัจจุบันศาลาแห่งนี้อยู่ในความดูแลของหน่วยพิทักษ์อุทยานแห่งชาติที่ สว.5 (ศาลา) สังกัดอุทยานแห่งชาติสาละวิน สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 16 สาขาแม่สะเรียง
บ้านศาลาโบราณแห่งนี้ ในอดีตนั้น เคยเกิดน้ำป่าไหลหลากหลายครั้ง และได้คร่าชีวิตผู้คนในศูนย์อพยพไปมากกว่า 30 ศพ รวมถึงยังมีผู้เสียชีวิตจากโรคไข้ป่ามาลาเรีย ในพื้นที่แถบนี้อีกนับไม่ถ้วน
พื้นที่แห่งนี้ ยังมีเรื่องเล่าสุดสยองขวัญ ที่ทิ้งไว้เป็นร่องรอยให้ได้วิเคราะห์กันมากมาย เช่น ประตูไม้ในห้องบนอาคารที่หายไป โดยมีร่องรอยเล็บขนาดใหญ่ที่เกิดจาก “เสือ” ได้เข้ามากินศพของผู้ที่เสียชีวิต ที่ถูกนำมากองรวมไว้บนบ้านศาลาแห่งนี้
หลังอุทยานแห่งชาติสาละวิน ได้เข้ามาดูแลพื้นที่บ้านศาลาโบราณต่อ ก็ได้เริ่มก่อสร้างอาคารข้างๆ ขณะที่เริ่มขุดหลุมเพื่อสร้างห้องน้ำทางด้านทิศตะวันออกของบ้าน ก็พบศพอีกหลายศพอยู่ในพื้นดินบริเวณนี้ และหากมองไปที่ด้านหลังของศาลาโบราณจะพบว่า ถูกสร้างอยู่ติดกับภูเขา และถ้าได้เดินไปบนภูเขานั้น จะพบกับหลุมศพมากมายที่ถูกฝังไว้ทั่วบริเวณ จนอาจกล่าวได้ว่า ศาลาโบราณแห่งนี้เปรียบเสมือนป่าช้า ที่เต็มไปด้วยเรื่องราวที่น่ากลัว
ปัจจุบันทางอุทยานฯ สามารถให้นักท่องเที่ยวสามารถกางเทนท์ข้างแรมได้ แต่ต้องนำอาหารมาทำเอง ทั้งอาหาร และเครื่องดื่ม เพราะที่นี่ไม่มีร้านค้าไว้บริการ รวมถึงไม่มีไฟฟ้า และสัญญาณโทรศัพท์ จนนักท่องเที่ยวให้ฉายาไว้ว่า “ลานกางเทนท์หลอน” แห่งเดียวในไทย
“แม่สะเรียง” ถือเป็น 1 ใน 7 อำเภอท่องเที่ยวที่ขึ้นชื่อของจังหวัดแม่ฮ่องสอน ตั้งอยู่ทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ติดกับสาธารณรัฐสหภาพเมียนมาร์ เป็นเมืองใหญ่อันดับ 2 รองจากอำเภอเมือง อยู่ไม่ไกลจากตัวเมืองเชียงใหม่ การคมนาคมสะดวก ในอดีตเป็นเมืองหน้าด่านที่สำคัญของอาณาจักรล้านนา ชื่อว่า “เมืองยวม” และมีบุคคลสำคัญหลายคนเข้าไปมีบทบาทในอาณาจักรล้านนาจนได้เป็นมหาราช
แม่สะเรียง มีทัศนียภาพที่สวยงาม เต็มเปี่ยมไปด้วยธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ ผู้คนอยู่รวมกันอย่างเรียบง่าย ในตัวเมืองแม่สะเรียง มีสถานที่หลายแห่งให้เลือกแวะ เริ่มตั้งแต่ตลาดสดแม่สะเรียงยามเช้า ที่มักจะมีปลาสาละวินมาขาย, พิพิธภัณฑ์แม่สะเรียง, ป้ายยินดีต้อนรับสู่แม่ฮ่องสอน หรือที่คนพื้นที่เรียกว่า ประตูโดราเอมอน, ทุ่งนาบ้านกาด และวัดสวยๆ อีกมากมาย
มาถึงอำเภอแม่สะเรียงทั้งที ผมขอลิ้มรสชาติไส้อั่ว และเนื้อย่าง ชื่อดังอย่างร้าน “จิ้นตุ๊บ ไส้อั่ว แม่หลวงเพ็ญ” กันสักหน่อย (จิ้นตุ๊บ แปลว่า เนื้อทุบ) ร้านนี้ตั้งอยู่ใกล้บริเวณแยกไฟแดง ฝั่งตรงข้ามพิพิธภัณฑ์แม่สะเรียง เป็นร้านเก่าแก่ที่เปิดขายมานานกว่า 30 ปี มีอาหารพื้นเมืองหลายอย่าง แต่ครั้งนี้ผมเลือกไส้อั่ว และเนื้อย่าง ที่กินกับข้าวเหนียวร้อนๆ อร่อยอย่าบอกใคร
ที่พักแม่สะเรียงมีมากมาย แต่ผมเลือกพักที่ “น้ำพุร้อนแม่อุมลอง” เพราะนอกจากมีบ้านพักทรง A FRAME ที่สวยงามแล้ว ยังเป็นห้องเดี่ยวเตียงใหญ่ พักได้ 2-3 คน ไฮไลท์ คือ สามารถแช่น้ำร้อนธรรมชาติได้จากอ่างส่วนตัวในห้องพักได้เลย โดยมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบ ยกเว้นเครื่องปรับอากาศ ในราคาหลังละ 500 บาท เท่านั้น
บริษัท โอโมดา แอนด์ เจคู (ประเทศไทย) จำกัด ที่เอื้อเฟื้อยานพาหนะในการเดินทาง