เรื่องเด่นจาก GADGET/HOW IT WORKS
บางเฉียบเพื่อชัยชนะ SAMSUNG GALAXY S25 EDGE
สมาร์ทโฟนสุดบางของ SAMSUNG จะกลายเป็นความสำเร็จครั้งใหญ่ได้หรือไม่ ?
ทุกวันนี้การเปิดตัวสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ที่สามารถทำให้ผู้คน “ตะลึง” ได้นั้นเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นไม่บ่อยนัก โดยเฉพาะในยุคที่การอัพเดทแบบค่อยเป็นค่อยไปกลายเป็นเรื่องปกติไปแล้ว แต่ SAMSONG GALAXY S25 EDGE กลับทำได้สำเร็จ
เพียงแรกเห็น ก็เรียกเสียง “WOW” ได้ทันที
เมื่อได้เห็นสมาร์ทโฟนรุ่นล่าสุดจาก SAMSUNG เป็นครั้งแรก เรารู้สึกประทับใจในทันที จากประสบการณ์ที่ทีมงาน T3 ได้ทดสอบสมาร์ทโฟนมาหลายร้อยรุ่นตลอดหลายปีที่ผ่านมา การผสมผสานระหว่างน้ำหนักที่เบาอย่างน่าทึ่ง หน้าจอที่กล้าเล่นดีไซจ์นอย่างเต็มที่ และขอบจอที่บางเฉียบของ GALAXY S25 EDGE ถือว่าโดดเด่นจนสะดุดตา
แต่คำถามก็คือ...สมาร์ทโฟนสุดล้ำเครื่องนี้ จะเป็นการปฏิวัติวงการอย่างแท้จริง หรือเป็นเพียงแค่อะไรที่ “สวยแต่รูป จูบไม่หอม”
สเปคเครื่อง
หน้าจอ : ขนาด 6.7 นิ้ว ความละเอียด 3,120x1,440 พิกเซล ความสว่างสูงสุด 2,600 นิท รีเฟรชเรท 120HZ แบบ DYNAMIC AMOLED 2X ชิพเซท : SNAPDRAGON 8 ELITE แบบ 8 คอร์ หน่วยความจำ (RAM): 12GB พื้นที่เก็บข้อมูล: 256GB/512GB ระบบปฏิบัติการ : ANDROID กล้อง : กล้องหลัง 200MP เลนส์ไวด์+12MP เลนส์อุลทราไวด์/กล้องหน้า 12MP คุณสมบัติกันน้ำกันฝุ่น : มาตรฐาน IP68 การเชื่อมต่อ : พอร์ท USB-C, รองรับ WI-FI 7, BLUETOOTH 5.4 ขนาดตัวเครื่อง : 158.2x75.6x5.8 มม. น้ำหนัก : 163 กรัม
บางเฉียบแต่แรงจัด
ด้วยความบางเพียง 5.8 มม. GALAXY S25 EDGE จัดว่าเป็นหนึ่งในสมาร์ทโฟนที่บางที่สุดในตลาด แต่ถึงจะบาง ก็ยังมาพร้อมพลังประมวลผลระดับเรือธงจากชิพ SNAPDRAGON 8 ELITE ที่แรงไม่แพ้ใคร
GALAXY S25 EDGE มากับความบางเพียง 5.8 มม. ซึ่งถือว่าบางที่สุดในบรรดา GALAXY S SERIES ทั้งหมด และยังน้ำหนักเบาเพียง 168 กรัมเท่านั้น นี่คือ สมาร์ทโฟนที่นำทเรนด์ “บางคือสวย” ได้อย่างแท้จริง
ด้านดีไซจ์นยังเสริมความประทับใจด้วยหน้าจอขนาด 6.68 นิ้ว ในอัตราส่วน 19.5:9 ซึ่งเป็นมาตรฐานสำหรับสมาร์ทโฟนระดับเรือธงในปัจจุบัน ทำให้ตัวเครื่องมีขนาดเล็กกว่า GALAXY S25 ULTRA เล็กน้อย
ด้วยอัตราส่วนหน้าจอต่อขนาดตัวเครื่องถึง 91.2 % ขอบจอของ S25 EDGE จึงบางเฉียบไม่ต่างจากรุ่นพี่ในตระกูลเดียวกัน ทั้งยังมาพร้อมกับเทคโนโลยีล่าสุดแบบครบครัน ไม่ว่าจะเป็นอัตรารีเฟรช 120HZ หรือการรองรับ HDR10+ สำหรับภาพที่มีมิติ และสีสันสมจริง นอกจากนี้ หน้าจอยังสว่างถึง 2,600 นิท ซึ่งถือว่าสว่างมากในระดับพรีเมียม
เช่นเดียวกับรุ่นอื่นๆ ในตระกูล S25 หน้าจอของ S25 EDGE ก็ยังคงสวยงามสะกดสายตา ไม่แพ้รุ่นทอพอย่าง S25 ULTRA แม้ว่าจะมาพร้อมดีไซจ์นที่ขอบจอบางกว่า
GALAXY S25 EDGE ยังเป็นสมาร์ทโฟนรุ่นแรกของ SAMSUNG ที่ใช้กระจก CORNING GORILLA GLASS CERAMIC 2 ซึ่งเป็นกระจกกันกระแทกรุ่นล่าสุดที่แข็งแกร่งที่สุดในตลาดขณะนี้ ช่วยลดโอกาสการแตกร้าวจากแรงกระแทกได้ดีเยี่ยม อย่างไรก็ตาม ตัวเครื่องไม่ได้แถมเคสมาให้ในกล่อง และการใส่เคสเสริมก็อาจทำลายจุดเด่นด้านความบางของดีไซจ์นนี้ไปโดยปริยาย
สีสันที่มาพร้อมความหรูหรา
GALAXY S25 EDGE วางจำหน่ายใน 3 เฉดสี ได้แก่ TITANIUM SILVER และ ICY BLUE ซึ่งมาพร้อมผิวสัมผัสแบบเมทัลลิคแวววาว ส่วนสี JETBLACK จะให้ลุคเรียบหรู ดูสุขุมมากกว่าเล็กน้อย แม้จะมีให้เลือกหลากสี แต่ก็อดรู้สึกไม่ได้ว่า ถ้ามีสีที่โดดเด่นกว่านี้สักหน่อยคงจะน่าสนใจมากขึ้น โดยเฉพาะกับรุ่นพิเศษแบบ ONLINE EXCLUSIVE ที่หลายคนคาดหวัง แต่กลับไม่มีจาก SAMSUNG เท่าไรนักในครั้งนี้
GALAXY S25 EDGE มีราคาเริ่มต้นที่ 1,099 ปอนด์ สำหรับรุ่นความจุ 256GB และหากเพิ่มเงินอีก 100 ปอนด์ ก็จะได้รุ่นความจุ 512GB ที่จุใจมากขึ้น เมื่อเทียบกับรุ่นอื่นในตระกูล GALAXY S25 แล้ว ราคานี้สูงกว่ารุ่น S25+ อยู่ 100 ปอนด์ (แม้จะมีขนาดหน้าจอเท่ากัน) แต่ก็ยังถูกกว่ารุ่น S25 ULTRA ถึง 200 ปอนด์ ซึ่งทำให้ S25 EDGE อยู่ในระดับกลางของซีรีส์นี้
หลายคนอาจสงสัยว่า ด้วยความบางระดับนี้ SAMSUNG ต้องแลกกับการลดฮาร์ดแวร์ภายในหรือไม่ คำตอบ คือ ไม่เลย GALAXY S25 EDGE ขับเคลื่อนด้วยชิพ SNAPDRAGON 8 ELITE ซึ่งเป็นชิพระดับเรือธงตัวเดียวกับในรุ่นอื่นๆ ในตระกูล S25 และมาพร้อม RAM ขนาด 12GB เราได้ทดสอบด้วยแอพพลิเคชัน CPU-Z บนระบบ ANDROID และยืนยันได้ว่าไม่ได้มีการลดจำนวนคอร์ หรือประสิทธิภาพแต่อย่างใด กล่าวได้ว่า แม้จะมาพร้อมดีไซจ์นบางเฉียบที่สุดในซีรีส์ แต่พลังประมวลผลของ S25 EDGE ก็ยังทรงพลังพอจะรองรับทั้งการเล่นเกม การทำงานหลายอย่างพร้อมกัน (MULTI-TASKING) หรือแม้แต่การใช้งานหนักๆ ได้อย่างไม่มีปัญหา
แม้จะได้ชิปประมวลผลตัวทอพแบบ “จัดเต็ม” แต่ก็ต้องยอมรับว่ามีข้อเสียตามมาด้วยเช่นกัน เพราะการใช้ฟีเจอร์บางอย่างของ GALAXY S25 EDGE ทำให้อุณหภูมิของเครื่องสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งส่งผลกระทบต่ออายุการใช้งานของแบทเตอรีโดยตรง
และเมื่อดูจากสเปคของแบทเตอรีที่ให้มาเพียง 3,900MAH ซึ่งถือว่าน้อยกว่ารุ่นอื่นๆ ที่มีขนาดหน้าจอใกล้เคียงกันในตระกูล GALAXY ก็ยิ่งตอกย้ำให้เห็นถึงจุดอ่อนในเรื่องนี้
ช่วงแรกที่ทดลองใช้งาน แบทเตอรีอยู่ได้ตลอดทั้งวันโดยไม่มีปัญหาใดๆ แต่เมื่อเข้าสู่สถานการณ์จริง เช่น การเดินทาง การเชื่อมต่อผ่านฮอทสปอท WI-FI เป็นระยะๆ และการใช้งานที่หนักขึ้นโดยรวม ก็เริ่มเห็นชัดว่าเครื่อง ร้อนเร็ว และแบทเตอรีก็หมดไวกว่า GALAXY S25 รุ่นอื่น อย่างมีนัยสำคัญ
“จะเล่นเกม ทำงานหลายอย่างพร้อมกัน หรืออะไรก็แล้วแต่ จัดมาเลย S25 Edge พร้อมลุย”
จริงอยู่ที่มีเทคโนโลยีแบทเตอรีซิลิคอน-คาร์บอน ซึ่งให้ความหนาแน่นของพลังงานสูงขึ้น และสามารถบรรจุแบทเตอรีความจุสูงกว่าในดีไซจ์นที่บางเฉียบได้ แต่ SAMSUNG ยังเลือกที่จะเดินหน้าปรับปรุงกระบวนการพัฒนาแบทเตอรี และการชาร์จให้ปลอดภัย และน่าเชื่อถือมากขึ้น แม้ว่าสิ่งนี้จะทำให้ผู้ใช้บางคนรู้สึกว่า “ตามหลังคู่แข่ง” อยู่บ้าง
นอกจากนี้ ยังมีฟีเจอร์ประหยัดพลังงานอื่นๆ ที่ถูกตั้งค่าไว้ในเครื่องโดยอัตโนมัติ เช่น หน้าจอจะไม่แสดงความละเอียดสูงสุด และไม่ได้ใช้รีเฟรชเรทสูงสุดตลอดเวลา ซึ่งจริงๆ แล้วการเปิดใช้งานความละเอียด และรีเฟรชเรทสูงแบบเต็มที่ควรใช้เฉพาะเวลาที่เล่นเกม หรือใช้งานเฉพาะเจาะจงเท่านั้น จึงไม่นับว่าเป็นปัญหาใหญ่แต่อย่างใด
ส่วนของซอฟท์แวร์นั้นก็ยังคงเป็นความสุขแบบเดิม ด้วยระบบปฏิบัติการ ANDROID 15 ที่ครอบทับด้วย ONE UI ของ SAMSUNG ที่ดูสะอาดตา ใช้งานง่าย และตอบสนองรวดเร็ว ด้าน AI ฟีเจอร์ต่างๆ ก็ถูกใส่มาอย่างครบครัน แม้อาจไม่ได้ใช้ทุกฟีเจอร์อย่างจริงจัง แต่ระบบ GEMINI ที่ผนวกมากับเครื่องนั้น ถือเป็นก้าวที่พัฒนากว่า BIXBY โดยมีฐานผู้ใช้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทำให้เป็นตัวเลือกที่น่าใช้กว่า
ฟีเจอร์ AI อื่นๆ อย่าง NOW BRIEF และ NOW BAR ช่วยสรุปกิจกรรมในแต่ละวัน และแสดงตัวอย่างแอพพลิเคชันที่เปิดอยู่บนหน้าจอลอค แม้อาจไม่ได้เปลี่ยนโลกแต่ก็มีประโยชน์ไม่น้อย ส่วนฟีเจอร์ CIRCLE TO SEARCH นั้นใช้งานได้ดีจริง โดยเฉพาะฟีเจอร์ สำหรับการถ่ายภาพ เช่น ฟีเจอร์ถอดวัตถุที่ไม่ต้องการด้วยเทคโนโลยี GENERATIVE EDIT ก็ถือเป็นอีกหนึ่งไฮไลท์ที่น่าประทับใจ
โทนสีเรียบหรู
สีสันของ GALAXY S25 EDGE มาในโทนที่ค่อนข้างสุภาพ และเรียบง่าย มีให้เลือกเพียง 3 เฉดสีที่เน้นความเย็นตาแบบ TITANIUM ซึ่งช่วยเสริมให้ดีไซจ์นที่บางเฉียบของตัวเครื่องโดดเด่น และดูหรูหรายิ่งขึ้น
“ฟีเจอร์ AI ถือว่าน่าสนใจ และใช้งานสนุก แต่ยังไม่ถึงกับเปลี่ยนแปลงวงการ หรือโลกเท่าไรนัก”
ชุดกล้องใหม่ แต่ยังไม่ถึงกับ WOW
หนึ่งในเอกลักษณ์ของสมาร์ทโฟนตระกูล GALAXY S คือ ดีไซจ์นกล้องสามตัวเรียงแนวตั้ง ที่กลายเป็นสัญลักษณ์ของมือถือเรือธงจาก SAMSUNG ไปแล้ว แต่ไม่ใช่กับ GALAXY S25 EDGE
รุ่นนี้เลือกจะ “เริ่มต้นใหม่” ด้วยดีไซจ์นกล้องแบบใหม่หมด โดยเปลี่ยนเป็นกล้องคู่ที่แยกตัวอยู่บน “เกาะนูน” ด้านหลังแทน แม้จะไม่ถึงขั้นทำให้ผู้ใช้ตกใจ แต่ก็ถือว่าแตกต่างจากรุ่นอื่นในตระกูล แต่เราเองยังไม่ค่อยมั่นใจว่าภาพลักษณ์ด้านหลังให้อารมณ์ “พรีเมียม” มากแต่ไหน แม้อาจเป็นเพียงจุดเล็กๆ สำหรับบางคนก็ตาม
ถึงจะแตกต่างในด้านดีไซจ์น แต่ในแง่ของกล้องหลัก GALAXY S25 EDGE ยังคงใช้เซนเซอร์ 200MP ตัวเดียวกับ S25 ULTRA จึงมั่นใจได้ว่าคุณภาพภาพถ่ายอยู่ในระดับยอดเยี่ยมอย่างแน่นอน อย่างไรก็ตาม รุ่น EDGE มาพร้อมกล้องเพียง 2 ตัวเท่านั้น ทำให้มีฟีเจอร์บางอย่างที่ “ขาดหายไป” อย่างเห็นได้ชัด และการไม่มีเลนส์ซูมแบบ OPTICAL ZOOM ถือเป็นหนึ่งในข้อจำกัดที่ชัดเจน และแม้จะมีกล้อง ULTRA-WIDE แต่ความละเอียดก็ยังน้อยกว่ารุ่นพี่ในตระกูลเดียวกัน ซึ่งส่งผลต่อคุณภาพของภาพมุมกว้างที่ดูจำกัดขึ้นเล็กน้อย เมื่อเทียบกับสมาร์ทโฟนระดับเดียวกันในท้องตลาด S25 EDGE อาจไม่ได้ “ได้เปรียบ” ด้านกล้องเท่าไรนัก
แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า กล้องหลักของ SAMSUNG ยังคงทำได้ดีมาก ส่วนหนึ่งมาจากการใช้งานที่ง่าย และอีกส่วนหนึ่ง คือ คุณภาพของฮาร์ดแวร์ที่เชื่อถือได้ รุ่นนี้อาจไม่มีฟีเจอร์กล้องล้นหลามเหมือนบางรุ่น แต่สิ่งที่ให้มาก็ใช้งานได้จริง และมีคุณภาพ อีกจุดที่ช่วยเสริมประสบการณ์การถ่ายภาพให้สนุกขึ้น คือ ซอฟท์แวร์ และฟีเจอร์ AI ต่างๆ เช่น การถ่าย มาโครระยะใกล้ ฟีเจอร์ EXPERT RAW สำหรับผู้ที่ต้องการปรับแต่งภาพอย่างมืออาชีพ ระบบ VIRTUAL APERTURE ที่ช่วยสร้างเอฟเฟคท์หน้าชัดหลังเบลอหลังจากถ่ายแล้ว ฟีเจอร์เหล่านี้ถูกจัดวางมาอย่างลงตัว ใช้งานได้ง่าย และยกระดับภาพถ่ายของผู้ใช้ให้ดูพโรได้ไม่ยาก
ความบาง คือ ทเรนด์ และนี่คือคำตอบของ SAMSUNG
ในหลายๆ ด้าน GALAXY S25 EDGE คือ สมาร์ทโฟนที่น่าทึ่งอย่างแท้จริง ทั้งบาง เบา และสวยเฉียบยิ่งกว่ารุ่นไหนๆ ที่คุณเคยเห็น โครงสร้างแข็งแรง พรีเมียมเต็มขั้น พร้อมพลังประมวลผลที่ท้าทายรุ่นเรือธงตัวทอพได้อย่างไม่อายใคร
แต่ในอีกมุมหนึ่ง EDGE ก็อาจจะ “ทำร้ายตัวเอง” ด้วยข้อจำกัดด้านแบทเตอรีที่อยู่ในระดับปานกลาง พลังประมวลผลที่ทำให้เครื่องร้อนง่าย และการจัดวางกล้องที่ถึงแม้จะดี แต่ยังขาดเลนส์ซูม และยังห่างไกลจากความครบเครื่องของ S25 ULTRA หรือรุ่นระดับสูงจากบแรนด์อื่น
โดยรวมแล้ว GALAXY S25 EDGE คือ “ภาพแห่งอนาคต” ของสมาร์ทโฟน มันอาจไม่ใช่มือถือที่บางที่สุดในโลก แต่ถือเป็นรุ่นที่บางที่สุดเท่าที่ SAMSUNG เคยผลิตมา และในยุคที่ผู้ใช้เริ่มมองหานวัตกรรมมากกว่าการอัพเกรดเล็กน้อยทุกปี ความกล้าในการออกแบบใหม่นี้ คือ ความเปลี่ยนแปลงที่น่ายินดี
หากคุณกำลังอินกับทเรนด์มือถือบางเฉียบ แต่ยังอยากได้มือถือพับได้ อาจลองดู OPPO FIND N5 ที่มีความบางเพียง 4.21 มม. ตอนกางออก บางยิ่งกว่า S25 EDGE เสียอีก แต่ถ้าคุณให้ความสำคัญกับกล้อง แบทเตอรี และหน้าจอที่ใหญ่กว่า เราขอแนะนำ GALAXY S25 ULTRA ที่แม้จะหนากว่า แต่ให้ประสบการณ์ระดับเรือธงที่สมบูรณ์แบบกว่าแน่นอน
“ตัวเลือกกล้องของ GALAXY S25 EDGE โดยรวมถือว่าทำได้ดีเยี่ยม แต่จุดที่ขาดไปอย่างชัดเจน คือ ไม่มีระบบซูมแบบ OPTICAL ให้ใช้งานเหมือนรุ่นพี่ในซีรีส์เดียวกัน”
พลังงาน แลกความบาง
แม้ดีไซจ์นบางเฉียบของ GALAXY S25 EDGE จะดูโดดเด่นสะดุดตา แต่ก็ต้องแลกมาด้วยข้อเสียที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ นั่นก็คือ การมีแบทเตอรีขนาดเล็กกว่ารุ่นอื่นในตระกูล S25 ซึ่งส่งผลต่ออายุการใช้งานแบทเตอรีอย่างเห็นได้ชัด
จาก 3 กลายเป็น 2
GALAXY S25 EDGE ไม่ได้บางแค่ตัวเครื่อง แต่ยัง “ลดไซซ์” ด้านการถ่ายภาพด้วยเช่นกัน โดยมาพร้อมกล้องเพียง 2 ตัว แทนที่จะเป็น 3 ตัวเหมือนรุ่นอื่นในตระกูล S25
บทสรุป
ข้อดีที่เราประทับใจ ดีไซจ์นบางเฉียบ น้ำหนักเบาอย่างน่าทึ่ง, ประสิทธิภาพระดับเรือธง, กล้องหลักความละเอียด 200MP ทำงานได้ยอดเยี่ยม
สิ่งที่ควรปรับปรุง แบทเตอรีลดลงเร็วเมื่อต้องรับภาระการใช้งานหนัก
สรุป สมาร์ทโฟนที่ดูดีจนต้องเหลียวมอง แต่ยังไม่สมบูรณ์พอจะยืนหนึ่งในกลุ่มเรือธง
ค้นหาดีลที่ดีที่สุดของ SAMSUNG S25 EDGE ได้ที่ : bit.ly/t3s25edge
อุปกรณ์เสริม
SAMSUNG GALAXY S25 EDGE KINDSUIT CASE ราคา 49 ปอนด์, samsung.com
แม้คุณอาจไม่อยากลดความบางเฉียบของ S25 EDGE แต่แน่นอนว่าคุณก็ไม่อยากให้ตัวเครื่องเป็นรอย เคสอย่างเป็นทางการจาก SAMSUNG นี้ออกแบบมาให้เพิ่มความหนาเพียงเล็กน้อย แต่ช่วยปกป้องตัวเครื่องได้ดี
ฟีล์มกันเลนส์ ZAGG GLASS ELITE ราคา 19.99 ปอนด์, zagg.com
หากคุณไม่ชอบความรู้สึกของการห่อเครื่องสวยๆ ด้วยพลาสติค ลองเลือกใช้ฟีล์มกันรอยเลนส์จาก ZAGG แทน ไม่เพียงแต่ช่วยป้องกันรอยขีดข่วนให้กล้อง แต่ยังช่วยให้คุณวางเครื่องคว่ำบนโต๊ะได้อย่างสบายใจ
ANKER NANO POWER BANK ราคา 29.99 ปอนด์, anker.com
ต้องการแบทเตอรีสำรอง แต่ไม่อยากพกของหนัก ? แบทเตอรีสำรองขนาดจิ๋วจาก ANKER รุ่นนี้มาพร้อมหัวต่อ USB-C ในตัว และสามารถเพิ่มความจุการใช้งานแบทเตอรีของ S25 EDGE ได้เกินเท่าตัว
G14-FORCE ASUS ROG ZEPHYRUS G14 ราคา 2,600 ปอนด์ rog.asus.com แลพทอพเกมิงที่บางเฉียบแต่มาพร้อมพลังมหาศาล
ROG ZEPHYRUS G14 รุ่นปี 2025 นี้ไม่ได้เปลี่ยนแปลงมากนักจากรุ่นปี 2024 ที่เคยคว้าคะแนน 5 ดาวไปครอง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าไม่มีอะไรน่าสนใจในด้านการออกแบบ เพราะมันยังคงเป็นหนึ่งในแลพทอพเกมิงที่ดูหรูหรา และบางเฉียบในระดับเดียวกับ ULTRA BOOK เลยทีเดียว
ตัวเครื่องมีให้เลือก 2 สี คือ สีเงิน และสีเทาเข้ม (ขึ้นอยู่กับสตอค) โดยรุ่นที่เราทดสอบ คือ สีเงิน ซึ่งดูคล้ายกับ MACBOOK PRO เมื่อมองจากระยะไกล ความแตกต่างหลัก คือ มีเส้นเฉียงโดดเด่นด้านหลังหน้าจอ ที่สามารถเรืองแสงได้ด้วยแถบไฟ LED บางๆ ที่ฝังไว้
เมื่อเปิดฝาเครื่อง จะพบกับหน้าจอ OLED อัตราส่วน 16:10 ขนาด 14 นิ้ว ความละเอียด 2880x1800 พิกเซล พร้อมรีเฟรชเรท 120HZ ให้ภาพที่คมชัด และลื่นไหล
คีย์บอร์ดเป็นแบบไม่มีแป้นตัวเลข และมาพร้อมปุ่มเสริม 4 ปุ่มที่สามารถตั้งค่าการใช้งานได้ตามต้องการ รวมถึงปุ่มเปิดเครื่องที่ทำจากกระจกแยกต่างหาก
แล้วภายในล่ะ ? ZEPHYRUS G14 มาพร้อม RAM ขนาด 32GB แบบ LPDDR5X 8000MHZ ซึ่งช่วยให้การทำงานหลายอย่างพร้อมกันเป็นไปอย่างลื่นไหล และยังมี SSD ความจุ 2TB แบบ PCLE 4.0 NVME M.2 สำหรับจัดเก็บข้อมูลปริมาณมาก หากต้องการเพิ่มความจุ ยังสามารถเปิดฝาหลังของเครื่องด้วยไขควงแบบพิเศษเพื่อเข้าถึงช่องเพิ่ม SSD ได้ง่ายอีกด้วย
กล้องเวบแคม 1080p ด้านบนหน้าจออาจไม่โดดเด่นมากนัก แต่รองรับระบบ WINDOWS HELLO สำหรับการปลดลอคเครื่องด้วยใบหน้าได้อย่างรวดเร็ว
ในด้านการเชื่อมต่อแบบไร้สาย ZEPHYRUS G14 รองรับ WI-FI 7 และ BLUETOOTH 5.4 ซึ่งถือว่าล้ำหน้ามาก ทำให้คุณไม่ต้องกังวลเรื่องการตกยุคไปอีกหลายปี
อย่างไรก็ตาม ความจุแบทเตอรี 73 วัตต์ชั่วโมง ก็สะท้อนถึงข้อแลกเปลี่ยนในเรื่องของดีไซจ์นที่บางเฉียบของ ASUS ซึ่งถือว่าน้อยกว่ารุ่นที่มีขนาดใหญ่กว่าอย่าง 16 หรือ 18 นิ้วที่มักจะมีแบทเตอรีความจุสูงกว่านี้ (และยังต่ำกว่าขีดจำกัดสูงสุดตามกฎหมายที่อนุญาตให้โนทบุคพกแบทเตอรีขนาด 99.9 วัตต์ชั่วโมงได้)
ประสิทธิภาพของ ROG ZEPHYRUS G14 ขึ้นอยู่กับว่าคุณใช้งานโดยเสียบปลั๊กไฟหรือไม่ เพราะซีพียูยุคใหม่ที่ทรงพลังที่สุดในปัจจุบัน มักต้องการพลังงานสูงในการทำงานอย่างเต็มประสิทธิภาพ ซึ่ง ไม่สามารถทำได้หากใช้งานผ่านแบทเตอรีเพียงอย่างเดียว
แม้ว่าในแง่ของ “ประสิทธิภาพ/ราคา/ปอนด์” จะมีแลพทอพรุ่นอื่นในตลาดที่ให้ประสิทธิภาพการเล่นเกมได้ดีกว่า แต่ ZEPHYRUS G14 ตั้งเป้าไปที่กลุ่มผู้ใช้อีกแบบ ผู้ที่ต้องการเครื่องแรง แต่กะทัดรัด และสามารถใช้งานแบบพกพาได้สะดวก พร้อมกับดีไซน์ที่ดูดี
ด้วยกราฟิคคาร์ด 5070 TI ภายใน คุณจะได้สัมผัสประสิทธิภาพระดับสูงจากเครื่องที่บางเฉียบนี้ เมื่อเสียบปลั๊กใช้งาน แต่ขณะเดียวกันก็สามารถพกพาไปประชุม หรือทำงานได้สะดวกเช่นกัน ถือว่าเป็นเครื่องที่ “ให้ได้ทั้ง 2 โลก” ในเครื่องเดียว
แม้ราคาจะอยู่ในระดับพรีเมียม แต่สำหรับผู้ที่สามารถจ่ายไหว นี่คือ แลพทอพเกมมิ่งที่ยอดเยี่ยมที่สุดเครื่องหนึ่งในตลาด
บทสรุป
เราประทับใจ สเปคสูงที่ให้ประสิทธิภาพยอดเยี่ยม (โดยเฉพาะเมื่อเสียบปลั๊ก) การออกแบบหรูหรา พกพาได้สะดวกมาก
สิ่งที่ควรปรับปรุง แบทเตอรียังใช้งานได้ไม่นาน ราคาสูงมาก
สรุป หากคุณกำลังมองหาแลพทอพเกมิงที่บางเฉียบ มีลูกเล่นมากมาย และยังใช้งานได้ดีในด้าน PRODUCTIVITY (การทำงานทั่วไป) นี่คือ หนึ่งในตัวเลือกที่ดีที่สุด (แต่ก็ราคาสูง) และมีพลังมากพอจะรองรับเกมรุ่นใหม่ๆ ได้อย่างสบาย
ค้นหาดีลดีๆ สำหรับ ASUS ROG ZEPHYRUS G14 ได้ที่ : bit.ly/t3asusg14
แฟนจริงไม่จกตา Sigma BF ราคา 1,969 ปอนด์ sigma-global.com ในที่สุด...เราก็มีกล้องที่หน้าตาดี พอๆ กับภาพที่ถ่ายได้จริง
SIGMA นิยามกล้องรุ่น BF นี้ว่าเป็น “UNIBODY แท้” เพราะทั้งตัวเครื่องผลิตจากอลูมิเนียมบลอคเดียวแบบไร้รอยต่อ ผ่านการเจียระไนอย่างแม่นยำ ตัวกล้องมีเพียงปุ่มชัทเตอร์เดียวที่ด้านบน ส่วนด้านหลังมาพร้อมปุ่มระบบสัมผัสแบบแรงกด 3 ปุ่ม และแป้นหมุนควบคุมแบบ 4 ทิศทาง
ตามสไตล์ของ SIGMA กล้องนี้ใช้เซนเซอร์ฟูลล์เฟรมความละเอียด 24.6 ล้านพิกเซล พร้อมเมาท์เลนส์แบบ L-MOUNT ที่สามารถเปลี่ยนเลนส์ได้ จุดที่น่าสนใจ คือ ไม่มีช่องใส่ SD CARD แต่เลือกใช้หน่วยความจำภายในขนาด 250GB แทน ซึ่งเพียงพอสำหรับเก็บไฟล์ RAW (DNG) ได้ถึง 4,300 ไฟล์, JPEG ได้ 14,000 ภาพ หรือวีดีโอสูงสุด 2.5 ชม. (ที่ความละเอียด 6K @30fps)
ตัวกล้องมีพอร์ท USB-C เพียงช่องเดียว ซึ่งสามารถใช้ได้ทั้งชาร์จแบทเตอรี โอนถ่ายภาพ หรือสตรีมวีดีโอแบบเรียลไทม์ก็ได้
คล้ายกับ PANASONIC DC-S9 และ SONY A7C II กล้องรุ่นนี้ ไม่มีช่องมองภาพ ผู้ใช้ต้องใช้จอด้านหลังในการจัดเฟรมภาพแทน แต่ก็มีข้อจำกัดตรงที่ไม่สามารถพับ หรือหมุนจอได้ และไม่มีระบบสัมผัสเหมือนคู่แข่ง
อย่างไรก็ตาม จอแสดงผลมีความคมชัด และสว่าง ใช้งานง่าย แป้นหมุน 4 ทิศทางสามารถเปลี่ยนโหมดได้สะดวก โดยค่าที่เลือกจะแสดงผลบนหน้าจอสถานะ
แม้จะไม่มีแป้นหมุนโหมดถ่ายภาพแบบดั้งเดิม แต่ก็สามารถตั้งค่าการถ่ายภาพ เช่น ความเร็วชัทเตอร์ รูรับแสง และ ISO ให้อยู่ในโหมดอัตโนมัติได้ทั้งหมด รองรับทั้งการทำงานแบบ PRIORITY หรือ FULLY AUTO ซึ่งจะมีเพียงรูรับแสงเท่านั้นที่สามารถควบคุมได้ด้วยวงแหวนบนเลนส์ ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับเลนส์ที่ใช้งานด้วย
ด้วยเซนเซอร์ฟูลล์เฟรมความละเอียด 24.6 ล้านพิกเซล ภาพจาก SIGMA BF จึงเต็มไปด้วยรายละเอียดอันงดงาม โดยเฉพาะเมื่อจับคู่กับเลนส์พไรม์คุณภาพสูง ภาพที่ได้คมกริบแทบทุกรายละเอียด
ระบบโฟคัสของกล้องนี้ก็โดดเด่นไม่แพ้กัน ใช้ทั้งแบบ PHASE-DETECT และ CONTRAST-DETECT รองรับทั้งโฟคัสแบบครั้งเดียว และต่อเนื่อง พร้อมฟีเจอร์ติดตามวัตถุได้ทั้งคน และสัตว์ ช่วยให้การถ่ายภาพแม่นยำและง่ายขึ้นมาก
ด้านวีดีโอก็น่าประทับใจเช่นกัน ภาพเคลื่อนไหวสวยงามระดับมือพโร แต่ก็มีข้อจำกัดที่ควรทราบ นั่นคือ ไม่มีระบบกันสั่นแบบ OPTICAL ในตัวกล้อง ทำให้การถ่ายวีดีโอด้วยมือเปล่าอาจสั่นไหวได้ และเนื่องจากไม่มีชัทเตอร์แบบกลไก (MECHANICAL SHUTTER) อาจเกิดอาการ “ROLLING SHUTTER” ได้ในบางสถานการณ์
แต่ถ้าพูดถึงดีไซจ์นแล้วล่ะก็ SIGMA BF คือ หนึ่งในกล้องที่ดู “คูล” ที่สุดในตอนนี้ ตัวเครื่องสีเงินล้วน สไตล์ MNIMAL ที่สะดุดตาทุกมุมมอง กล้องดิจิทอลที่ได้แรงบันดาลใจจากยุคเรทโรหลายรุ่นอาจดูด้อยค่าเพราะใช้วัสดุพลาสติค หรือมีปุ่มควบคุมที่ดูไม่พรีเมียม แต่ไม่ใช่กับเจ้า BF ทุกองค์ประกอบถูกออกแบบอย่างตั้งใจ ใช้วัสดุดีเยี่ยม และให้ความรู้สึกที่แตกต่าง ไม่ได้แค่เลียนแบบกล้องฟีล์มแต่อย่างใด
สำหรับคนรักกล้องสายคลาสสิค บางคนอาจเสียดายที่ไม่มีช่องมองภาพ และไม่มีระบบกันสั่น ทำให้ไม่เหมาะสำหรับวีดีโอแฮนด์เฮลด์มากนัก แต่ถ้าคุณกำลังมองหาประสบการณ์การถ่ายภาพที่ เรียบง่าย มีสไตล์ และแตกต่าง SIGMA BF คือ คำตอบ เพราะนี่ไม่ใช่แค่ “กล้องแฟชัน” แต่คือ เครื่องมือสำหรับเฉลิมฉลองศิลปะการถ่ายภาพของคุณ และแน่นอน คุณจะดูดีขณะใช้งานมันด้วย
บทสรุป
เราประทับใจ ดีไซจ์นเท่จัดจนต้องเหลียวมอง ทุกองค์ประกอบให้ความรู้สึกพรีเมียม และเป็นเอกลักษณ์ หน้าจอคมชัด และสว่างสดใส ภาพถ่ายมีรายละเอียดจัดเต็ม
สิ่งที่ควรปรับปรุง การไม่มีช่องมองภาพอาจทำให้บางคนรู้สึกขาดอะไรไป ไม่เหมาะกับการถ่ายวีดีโอแบบถือด้วยมือ เนื่องจากไม่มีระบบกันสั่น
สรุป นี่คือ กล้องดีไซจ์นจัดที่กล้าฉีกกฎเดิมๆ และพร้อมจะมอบภาพถ่ายที่สวยงามน่าทึ่งให้คุณ
พบข้อเสนอสุดพิเศษสำหรับกล้อง SIGMA BF ได้ที่ : bit.ly/t3sigmabf
HESTON BLOOMING
MARSHALL HESTON 120 ราคา 899 ปอนด์ marshall.com “SONOS ระวังไว้-Marshall กำลังมาปลุกโลกของซาวด์บาร์ให้สั่นสะเทือน!”
เพียงไม่นานหลังจากเปิดใช้งาน เราก็รู้ทันทีว่า ซาวน์ดบาร์ตัวนี้ “โหดมาก” เราขอยืนยันว่า จะเลือกตัวนี้แทน SONOS ARC ได้อย่างไม่ลังเล ด้วยเหตุผลมากมาย แม้ตอนแรกจะมีข้อสงสัยอยู่บ้างว่า MARSHALL จะทำซาวน์ดบาร์แบบ ALL-IN-ONE ได้ดีตั้งแต่ครั้งแรกเลย หรือปุ่มควบคุมบนตัวเครื่องจะใช้งานได้ดีไหม ราคานี้คุ้มค่าหรือเปล่า
แต่ข้อกังวลเหล่านั้นก็หายไปทันทีหลังจากได้ลองใช้งาน เพราะ MARSHALL HESTON 120 คือ “ROCK STAR” ตัวจริงในโลกของซาวน์ดบาร์ ที่พร้อมจะขึ้นชาร์ทอันดับ 1 ได้อย่างไม่ต้องสงสัย แน่นอนว่า ดีไซจ์นของมันอาจจะไม่ถูกใจทุกคน และขนาดก็ไม่ใช่เล็กๆ แต่สำหรับเราแล้ว นี่คือ ซาวน์ดบาร์ตัวทอพตัวใหม่ที่น่าจับตามองอย่างยิ่ง
MARSHALL HESTON 120 เป็นพโรเจคท์ที่ถูกพัฒนามานานหลายปี โดยมีเป้าหมายเพื่อผสานดีไซจ์นคลาสสิคอันเป็นเอกลักษณ์ของบแรนด์ เข้ากับเทคโนโลยีเสียงล้ำสมัย ที่ออกแบบมาให้ตอบโจทย์ทั้งการฟังเพลงและดูหนังอย่างเต็มรูปแบบ ดังนั้น นี่คือ ซาวน์ดบาร์ตัวแรก ของ MARSHALL ที่ก้าวเข้าสู่โลก เสียง 3 มิติ อย่างกล้าหาญ และน่าประทับใจ
ทันทีที่แกะกล่อง HESTON 120 ก็เห็นได้ชัดเลยว่า ซาวน์ดบาร์ตัวนี้มีขนาดใหญ่ไม่ธรรมดา โดยมีความยาวถึง 1.1 ม. ซึ่งแน่นอนว่าจะช่วยยกระดับเสียงของทีวีได้อย่างชัดเจน อย่างไรก็ตาม คุณอาจอยากจับคู่กับทีวีขนาด 55 หรือ 65 นิ้วขึ้นไป หรือแม้แต่ทีวีที่ใหญ่กว่านั้น เพราะซาวน์ดบาร์ตัวนี้มีพลังเสียงมากพอที่จะตอบสนองได้อย่างสบายๆ
จากการวิจัยของ MARSHALL พบว่า 8 ซม. คือ ความสูง “สูงสุด” ที่ซาวน์ดบาร์ควรจะมี เพื่อหลีกเลี่ยงการบดบังหน้าจอทีวี และความสูงของซาวน์ดบาร์ HESTON 120 ก็อยู่ที่ 7.6 ซม. ซึ่งเป็นสิ่งที่คุณควร พิจารณาล่วงหน้าอย่างจริงจัง เพราะแม้จะใช้งานได้กับทีวีหลายรุ่น แต่ HESTON 120 ก็ไม่ได้เหมาะกับทีวีกับทุกเครื่องเสมอไปนั่นเอง
แต่เอาเข้าจริง เมื่อวางซาวน์ดบาร์เข้ากับตำแหน่งแล้ว ขนาดของมันก็ไม่ได้ดูใหญ่โตเกินไปอย่างที่คุณอาจกังวล
แม้ความคิดเห็นต่อดีไซจ์นของ HESTON 120 จะแตกออกเป็น 2 ฝั่ง แต่เรากลับชอบ เพราะมันไม่ได้เป็นดูเป็นกล่องสีดำดาดๆ ซึ่งหาได้ยากในโลกของซาวน์ดบาร์ที่มักจะหน้าตาคล้ายกันไปหมด
MARSHALL HESTON 120 โดดเด่นด้วยรายละเอียดที่ถูกออกแบบมาอย่างมีเหตุผล ไม่ใช่แค่เพื่อให้ดูแตกต่างเฉยๆ ยกตัวอย่างเช่น ด้านบนของตัวเครื่องมีลูกบิดควบคุม 3 ตัว พร้อม ปุ่มควบคุมหลายแบบ ซึ่งดูเรียบง่าย และไม่รบกวนสายตาเท่าซาวน์ดบาร์บางรุ่นที่ใช้พลาสติคเงาเป็นส่วนบนของตัวเครื่อง
ส่วนควบคุมนี้ถูกออกแบบมาอย่างประณีต ให้สัมผัสที่แน่นหนา และหรูหรา ลูกบิดทองเหลืองทั้ง 3 ตัว สำหรับปรับระดับเสียง, เบส/แหลม (สามารถกดลงเพื่อสลับฟังค์ชัน) และเลือกแหล่งสัญญาณ (เปิด BLUETOOTH ได้ด้วยการกดค้าง) มาพร้อมกับไฟเรืองแสงสีแดงแบบไล่ระดับ ที่แสดงให้เห็นชัดเจนว่าคุณกำลังปรับอยู่ในระดับใด
แสงนี้จะค่อยๆ จางหายไปเองหลังจากไม่ได้ใช้งาน เพื่อไม่ให้รบกวนการรับชมทีวี ซึ่งเป็นรายละเอียดเล็กๆ ที่แสดงให้เห็นถึงความใส่ใจในการออกแบบของ MARSHALL
การที่ไม่มีรีโมทควบคุมแถมมาให้อาจทำให้บางคนรู้สึกไม่สะดวก อย่างไรก็ตาม คุณยังสามารถควบคุมผ่านแอพพลิเคชัน MARSHALL บน IPHONE หรือ ANDROID ได้ตามต้องการ แต่อาจไม่เหมาะนักเวลามีแขกมาเยี่ยม เพราะพวกเขาอาจไม่ได้ติดตั้งแอพพลิเคชันไว้ในเครื่อง การมีวิธีควบคุมค่าพรีเซทจากระยะไกลที่ทุกคนเข้าถึงได้ก็คงจะดีกว่า แต่หากมองในแง่บวก นี่ก็ถือเป็นข้ออ้างที่ดี ให้คุณได้ลุกขึ้นไปหมุนลูกบิดทองเหลืองสุดเท่ด้วยตัวเอง
หนึ่งในเหตุผลที่เราคิดว่าMARSHALL HESTON 120 คุ้มค่ากับราคา คือเพราะมันทำในสิ่งที่ SONOS ARC ULTRA พลาดไปอย่างจัง นั่นคือ การให้ พอร์ท HDMI มามากกว่า 1 ช่อง โดย HESTON 120 มาพร้อม HDMI eARC สำหรับเชื่อมต่อกับทีวีได้อย่างง่ายดาย และยังมี HDMI INPUT ที่รองรับ PASSTHROUGH สูงสุดถึง 4K/120HZ ซึ่งหมายความว่าคุณไม่จำเป็นต้องเสียช่อง HDMI บนทีวีไปอย่างเปล่าประโยชน์เมื่อต่ออุปกรณ์ภาพ และเสียงรุ่นล่าสุดเข้าไปด้วย
สเปคของ MARSHALL HESTON 120
ระบบเสียง : 5.1.2 แชนเนล กำลังขับ : 150 วัตต์ ฟีเจอร์เสียง : รองรับ DOLBY ATMOS, DTS:X การควบคุม : ปุ่มหมุนทองเหลือง 3 ปุ่ม (ควบคุมระดับเสียง, เบส/แหลม, เลือกแหล่งสัญญาณ) ปุ่มพรีเซท 3 ปุ่ม โหมดเสียง 4 แบบ พอร์ทเชื่อมต่อ : HDMI eARC HDMI INPUT (รองรับ PASSTHROUGH 4K/120HZ) RCA SUBWOOFER OUT USB-C ETHERNET (LAN) การเชื่อมต่อไร้สาย : BLUETOOTH 5.3 WI-FI 6 ขนาดตัวเครื่อง: 1,100x145x76 มม. น้ำหนัก: 7.04 กก.
พื้นที่ และพลังเสียง
MARSHALL ได้ใส่ใจในรายละเอียดอย่างมากกับการจัดวางภายในของ HESTON 120 เพื่อรีดศักยภาพสูงสุดจากชุดลำโพงที่ทรงพลังของมัน โดยชื่อ “120” ไม่ได้ตั้งขึ้นมาแบบสุ่ม แต่มาจากความจุภายในของตัวเครื่องที่มีมากกว่า 120 ลูกบาศก์เซนติเมตร ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ใช้ในการสร้างเสียงที่เต็มอิ่ม และกระหึ่มภายใต้ดีไซจ์นที่โดดเด่นของบแรนด์ MARSHALL
ภายในพื้นที่นั้น ประกอบไปด้วยลำโพงถึง 9 ตัว และตัวขยายเสียงเบส (WOOFER RADIATORS) อีก 2 ตัว โดยมีแอมพลิฟายเออร์ CLASS D จำนวน 11 ตัว ที่คอยขับเคลื่อนเสียงทั้งหมด นี่คือ การลงทุนด้านฮาร์ดแวร์ที่หนักแน่น จึงไม่แปลกใจเลยที่มันจะ เปิดเสียงดังสุดได้ถึงระดับ 11 ดังสะใจแบบเต็มพลัง แต่ที่สำคัญ คือ เสียงยังคงชัดเจน และใส ไม่มีเสียงแตกพร่าแม้เปิดดังสุด
เราใช้เวลานานมาก ในการทดลองใช้ MARSHALL HESTON 120 เพื่อฟังเพลงอย่างจริงจัง และด้วยความที่ MARSHALL เริ่มต้นจากบริษัทผลิตแอมพลิฟายเออร์ในยุค 1960s พวกเขาจึงยึดมั่นในรากฐานเสียงดนตรีแบบคลาสสิค และต้องการให้ซาวน์ดบาร์ตัวนี้สามารถถ่ายทอดความชัดเจนของเสียงร้อง พร้อมกับจังหวะที่กระชับ และเสียงเบสส์ลึก ที่ทำให้ดนตรี ถูกขับขาน ได้อย่างมีชีวิตชีวายิ่งขึ้น
นับเป็นประสบการณ์เสียงที่โคตรทรงพลัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคุณสามารถปรับแต่งเสียงแหลม และเสียงเบสส์ได้ตามใจชอบซาวน์ดบาร์ตัวนี้มีความชำนาญในการจัดการกับคอนเทนท์ที่เน้นความนุ่มนวล ไม่ว่าจะเป็นทีวี ภาพยนตร์ หรือเพลง ด้วยการตั้งค่าพรีเซท และระบบอัพไฟร์ที่ช่วยยกระดับเสียงแหลมให้ถูกส่งผ่านช่องเสียงด้านบน แม้ในกรณีที่คอนเทนท์นั้นไม่ได้รองรับ DOLBY ATMOS ก็ตาม ผลลัพธ์ที่ได้ คือ เสียงที่มีมิติ ความลึก และความสูงที่สมจริง ทำให้กำแพงเสียงมีความ “ตั้งตรง” หรือมีมิติเชิงแนวดิ่ง อย่างชัดเจน
สิ่งที่น่าประทับใจไม่แพ้กัน (อาจจะมากกว่าด้วยซ้ำ เมื่อพิจารณาจากลักษณะของสินค้า) คือ ความสามารถอันชาญฉลาดของ HESTON 120 ในการจัดการกับคอนเทนท์ DOLBY ATMOS ซึ่งตอนนี้ก็มีให้ชมกันมากมายบนพแลทฟอร์มสตรีมิงต่างๆ
พูดง่ายๆ คือ ซาวน์ดบาร์ตัวนี้ ทำได้ยอดเยี่ยมมาก การก้าวเข้าสู่ตลาดเสียงทีวีครั้งแรกของ MARSHALL ไม่ได้ทิ้งรากเหง้าทางดนตรีของตัวเองไปเลย ในขณะเดียวกันก็ผสมผสานเทคโนโลยีทันสมัยทั้งหมดที่ช่วยให้มันเป็น “เจ้าแห่งภาพยนตร์” ได้อย่างสมบูรณ์แบบ
แน่นอนว่าดีไซจ์นอาจไม่ได้ถูกจริตทุกคน และการไม่มีรีโมทคอนทโรลก็คือ ข้อจำกัดรวมถึงราคาที่ไม่ถูกสำหรับซาวน์ดบาร์แบบกล่องเดียว แต่ลูกบิดทองเหลืองบนตัวเครื่องนั้นยอดเยี่ยมมาก มันให้ฟีเจอร์เทียบเท่า หรือมากกว่าคู่แข่งในระดับเดียวกัน พูดได้เต็มปากว่าซาวน์ดบาร์แบบกล่องเดียวที่ดีกว่านี้แทบไม่มีแล้วสำหรับ MARSHALL เสียงเบสส์ของ HESTON 120 นั้นหนักแน่นแม้จะไม่มีซับวูเฟอร์แยก ระบบควบคุมความกว้าง และความสูงของเสียง สร้างเวทีเสียงขนาดยักษ์ และการจัดการ DOLBY ATMOS ก็ให้กำแพงเสียงด้านหน้าที่ทรงพลังมากๆ นี่คือ ดารา ROCK’N’ROLL ตัวจริง ของวงการซาวน์ดบาร์เลยทีเดียว
“ไม่ว่าจะเพลง หนัง หรือทีวี ทั้งหมดจะกลายเป็นประสบการณ์เสียงที่ทรงพลัง”
บทสรุป
เราประทับใจ ช่วงเสียงกว้างใหญ่ และเบสส์หนักแน่น ดีไซจ์นโดดเด่นดูสวยงาม และการควบคุมด้วยปุ่มจริงบนตัวเครื่องนั้นทั้งเป็นเอกลักษณ์ และใช้งานได้จริง
สิ่งที่อยากให้ปรับปรุง ดีไซจ์นที่โดดเด่นอาจไม่ถูกใจทุกคน ไม่มีรีโมทคอนทโรล และไม่มีหน้าจอแสดงผลบนตัวเครื่อง
สรุป การก้าวเข้าสู่ตลาดเสียงทีวีครั้งแรกของ MARSHALL ไม่ได้ทิ้งรากเหง้าทางดนตรีของตัวเองไปเลย พร้อมผสานเทคโนโลยีทันสมัยที่ทำให้มันเป็นเจ้าแห่งภาพยนตร์ได้อย่างสมบูรณ์แบบ
ค้นหาดีลสุดคุ้มของ MARSHALL HESTON 120 ได้ที่: bit.ly/t3mh120
ตัวเลือกอื่นๆ
SONOS ARC ULTRA ราคา 899 ปอนด์, sonos.com
ตัวเลือกที่ชัดเจน (แม้อาจจะดูธรรมดากว่า) คือ SONOS ARC ULTRA ซึ่งเป็นซาวน์ดบาร์ที่ทรงพลัง และตอบโจทย์คนรักเสียงเบสส์อย่างแท้จริง แต่ขัดใจเล็กน้อยตรงที่ไม่มีฟีเจอร์ HDMI PASSTHROUGH ซึ่งดูน่าผิดหวังเมื่อเทียบกับราคาที่ตั้งไว้
SAMSUNG HW-Q990F ราคา 789 ปอนด์, samsung.com
ถ้าคุณเน้นระบบเสียงรอบทิศทาง และไม่เกี่ยงเรื่องการจัดวางลำโพงหลายตัวในบ้าน ระบบแพคเกจอย่าง HW-Q990F จะตอบโจทย์เต็มที่ พร้อมด้วยซับวูเฟอร์ในชุดด้วย