เดือนที่แล้วที่ว่าด้วยเรื่องของ LAMBORGHINI TEMERARIO (ลัมโบร์กินี เตเมรารีโอ) ซูเพอร์คาร์รุ่นเริ่มต้น แต่มีสมรรถนะจัดจ้านเหลือร้าย โดยเราได้รับรู้ถึงองค์ประกอบแห่งพละกำลัง 920 แรงม้า ที่เป็นการทำงานร่วมกันของมอเตอร์ไฟฟ้า, เทอร์โบ และรอบหมุนของขุมพลังระดับ 10,000 รตน. ที่สร้างบุคลิก และจุดขายให้เจ้ากระทิงดุตัวใหม่
ในฉบับนี้เราจะมาดูกันต่อในเรื่องการนำพละกำลังทั้งหมดลงสู่พื้นที่เหล่าบรรดานักทดสอบที่ได้ลองขับแล้วต่างยกนิ้วให้ว่า มันคือหนึ่งในสุดยอดซูเพอร์คาร์ของโลกยุคปัจจุบัน
หัวใจของสมรรถนะการขับขี่ คือ สิ่งที่เรียกว่า LAMBORGHINI DINAMICA VEICOLO INTEGRATA 2.0 ในภาษาอิตาเลียน หรือ LAMBORGHINI INTEGRATED VEHICLE DYNAMIC 2.0 ในภาษาอังกฤษ (LDVI 2.0) ซึ่งเป็นระบบสมอง หรือปัญญาประดิษฐ์ ที่จะประมวลผลข้อมูลการขับขี่ เพื่อควบคุม คาดการณ์ และสั่งงานการถ่ายทอดกำลังสู่ล้อใดล้อหนึ่งอย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงปรับความแข็ง-อ่อนของระบบรองรับแต่ละด้าน ให้สอดคล้องกับองศาการเลี้ยวของล้อ เพื่อให้สามารถควบคุมรถได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด
ระบบ LDVI นี้ถูกนำมาใช้ครั้งแรกใน LAMBORGHINI HURACAN EVO (ลัมโบร์กินี อูรากัน เอโว) ปี 2019 และเป็นครั้งแรกของพวกเขาที่ได้ติดตั้งระบบที่สามารถ “เตรียมตัว” รับสถานการณ์ล่วงหน้า จากที่ก่อนนั้นจะเป็นระบบ “ตอบสนอง” ต่อสิ่งที่เกิดขึ้นไปแล้ว
สำหรับระบบ LDVI เวอร์ชัน 2.0 แตกต่างไปจากเดิม ด้วยการเพิ่มเติมระบบ “TORQUE VECTORING” หรือระบบควบคุมแรงบิดขณะเข้าโค้ง ที่แต่เดิมมักจะใช้ระบบเบรคเป็นตัวช่วย อาทิ ใช้การเบรคของล้อหลังด้านในโค้ง เพื่อทำให้หัวรถจิกเข้าโค้งมากขึ้น แต่เพราะ “TEMERARIO” เป็นซูเพอร์คาร์ไฮบริดที่มีมอเตอร์ไฟฟ้าถึง 3 ตัว ได้แก่ มอเตอร์หน้า 2 ตัว จ่ายกำลังสู่ล้อแต่ละด้าน กับมอเตอร์หลัง 1 ตัว ที่ติดกับเครื่องยนต์ โดยระบบกระจายแรงบิดนำเอาศักยภาพของมอเตอร์ไฟฟ้าคู่หน้ามาช่วยเพิ่มการกระจายแรงบิดระหว่างล้อซ้าย-ขวา ขณะเข้าโค้งได้อย่างอิสระ ทำให้เพิ่มเสถียรภาพ ความแม่นยำ และความคล่องตัวของการเข้าโค้งได้เหนือกว่ารถรุ่นก่อนนี้
อีกส่วนหนึ่งที่ต้องพูดถึง คือ ระบบรองรับแบบแม่เหล็กเหลว หรือ MAGNERIDE แบบปรับอัตโนมัติ (MAGNERIDE เป็นชื่อทางการค้าของระบบที่พัฒนาขึ้นโดยบริษัท DELPHI จากสหรัฐอเมริกา) โดยการทำงานมีชื่อเป็นทางการว่า MAGNETORHEOLOGICAL DAMPER ซึ่งของเหลว หรือน้ำมันที่บรรจุอยู่ในกระบอกชอคอับ จะมีผงโลหะละเอียดที่สามารถควบคุมรูปแบบการไหลได้ตามการปล่อยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า อาทิ หากผงโลหะเรียงตัวเป็นอิสระก็จะไหลผ่านวาล์วได้ง่าย (นุ่ม) แต่หากโดนเหนี่ยวนำให้เรียงตัวเป็นระเบียบก็จะไหลผ่านวาล์วได้ยาก (หนืด) เป็นต้น ด้วยหลักการนี้จะทำให้สามารถปรับความแข็ง-อ่อนของชอคอับได้เร็วกว่าระบบอื่นๆ
ดังนั้น เมื่อทำงานร่วมกับระบบ LDVI 2.0 แล้ว ปัญญาประดิษฐ์จะสามารถสั่งงานช่วงล่างแต่ละด้านให้มีความแข็ง-อ่อนได้อย่างอิสระ และทันท่วงที ซึ่งระบบนี้ได้รับการพิสูจน์แล้วโดยรถสมรรถนะสูงหลากหลายรุ่นทั่วโลก รวมถึงรุ่นพี่อย่าง LAMBORGHINI AVENTADOR (ลัมโบร์กินี อเวนตาโดร์) และ LAMBORGHINI HURACAN
การทำงานของ LDVI 2.0 ยังครอบคลุมไปถึงโหมดการขับขี่ต่างๆ ด้วย โดย LAMBORGHINI TEMERARIO มีโหมดการขับขี่ให้เลือกหลายรูปแบบ โดยจะมีโหมดการขับขี่หลัก 4 โหมด ซึ่งจะจับคู่กับระบบจัดการพลังงานไฟฟ้า อีก 3 รูปแบบ และรวมถึงระบบออกตัว (LAUNCH CONTROL) และดริฟท์โหมดอีก 3 ระดับ
โหมดการขับขี่หลัก ได้แก่
- CITTA (CITY) โหมดขับขี่ในเมือง เน้นที่การขับขี่ในย่านชุมชน ขับเคลื่อนด้วยระบบไฟฟ้าล้วน เพื่อความเงียบ และลดการปล่อยมลพิษ โดยเครื่องยนต์ วี 8 สูบ จะทำงานเพื่อการชาร์จไฟให้แก่แบทเตอรีเท่านั้น
- STRADA (ROAD) โหมดเดินทางไกล หรือการขับบนทางหลวง ระบบนี้จะหาสมดุลระหว่างการขับขี่ที่รวดเร็ว แต่ยังคงประสิทธิภาพ และความประหยัด เครื่องยนต์ วี 8 สูบ จะทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้าเพื่อประสิทธิภาพสูงสุด
- SPORT โหมดขับขี่แบบสปอร์ท โหมดนี้จะเพิ่มความเร้าใจในการขับให้มากขึ้น การตอบสนองคันเร่งว่องไว ช่วงล่างกระชับ ส่วนเครื่องยนต์ วี 8 สูบ คำรามดุดันขึ้น ออกแบบมาสำหรับการขับขี่ที่สนุกสนานแนวสตรีทเรซิง (ซิ่งหลังถนน)
- CORSA (RACE) โหมดสนามแข่ง โหมดนี้ระบบจะปลดปล่อยพละกำลัง 920 แรงม้า ออกมาแบบไม่มีกั๊ก แล้วถ้ายังไม่ถึงใจ ยังเปิดโหมด CORSA ESC OFF ซึ่งเป็นโหมดสนามแข่งแบบดิบๆ ที่จะปิดระบบควบคุมเสถียรภาพด้วยอีเลคทรอนิคส์ โดยผู้ขับขี่ต้องใช้ทักษะในการบังคับควบคุมเต็มรูปแบบ
ทั้งหมดที่กล่าวมา เมื่อจับคู่กับระบบจัดการพลังงาน 3 แบบ จะได้ผลดังนี้ โหมด RECHARGE เน้นการชาร์จไฟกลับเข้าสู่แบทเตอรีของระบบไฮบริด, โหมด HYBRID เน้นความสมดุลของการทำงานร่วมกันระหว่างเครื่องยนต์สันดาปภายในกับมอเตอร์ไฟฟ้า และโหมด PERFORMANCE โดดเด่นด้านสมรรถนะ และพละกำลัง
นอกจากนั้น ยังมีลูกเล่นใหม่ นั่นคือ “ดริฟท์โหมด” (DRIFT MODE) เพื่อให้เกิดอาการโอเวอร์สเตียร์ (ท้ายปัด) ที่สามารถสั่งงานได้จากปุ่มลูกบิดด้านขวาของพวงมาลัย โดยเพียงแค่บิดปุ่มก็จะเริ่มทำงานทันที มีให้เลือก 3 ระดับ คือ ระดับ 1 ระบบจะควบคุมให้ท้ายกวาดออก (YAW ANGLE) 15 องศา ระดับ 2 จะควบคุมให้ท้ายกวาดออก 30 องศา และระดับ 3 ซึ่งเป็นระดับสูงสุด จะควบคุมให้ท้ายกวาดออกถึง 40 องศา การทำงานของระบบจะเป็นการเน้นการกระจายแรงบิดไปสู่ล้อหน้า เพื่อช่วยในการลากให้รถที่ท้ายกวาดออกนั้นยังสามารถรักษาทิศทางการวิ่ง และรักษามุมกวาดที่ต้องการได้ ซึ่งระบบนี้ช่วยทำให้รถที่มีระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ สามารถเข้าโค้งแบบท้ายกวาดได้ง่ายขึ้น
จากบทความทดสอบของต่างประเทศ นักทดสอบต่างชื่นชมกับระบบนี้ และพบว่า ระดับที่ควบคุมง่าย และเข้ามือที่สุด ได้แก่ “ระดับ 3”
อีกส่วนที่พัฒนาไปไกลกว่ารถรุ่นก่อนหน้านี้มาก คือ แชสซีส์ (CHASSIS) โครงสร้างรับแรงของ LAMBORGHINI TEMERARIO ผลิตจากอลูมิเนียมอัลลอยทั้งหมด โดยประกอบขึ้นจาก อลูมิเนียมอัลลอยขึ้นรูปด้วยเทคนิคต่างกัน อาทิ การหล่ออัดด้วยแรงดันสูง (HIGH-PRESSURE CASTING), การใช้เทคนิคขึ้นรูปด้วยการใช้แรงดันจากของเหลวกับโครงสร้างทรงท่อ (HIGH STRENGTH HYDROFORMED EXTRUSIONS), การหล่อ-กลวง แบบผนังบาง และมีโครงสร้างรับแรงภายใน (HOLLOW CASTING WITH THIN CLOSED INERTIA PROFILES) ซึ่งเป็นเทคนิคการผลิตที่ช่วยสร้างชิ้นงานที่มีความบาง แต่แข็งแรงสูง และถูกเปิดตัวไปก่อนแล้วกับ LAMBORGHINI REVUELTO (ลัมโบร์กินี เรบูเอลโต) ซูเพอร์คาร์รุ่นใหญ่ ขุมพลัง วี 12 สูบ
เทคนิคต่างๆ ที่ว่ามา ช่วยให้เกิดการนำเอาชิ้นส่วนขนาดใหญ่ที่ทำงานได้หลายบทบาทมาแทนชิ้นส่วนขนาดเล็กที่ต้องประกอบเข้าหากัน ทำให้ลดจำนวน และความซับซ้อนของชิ้นส่วนลง และเมื่อรวมเข้ากับระบบไฮบริด ก็ยังมีชิ้นส่วนย่อยๆ ลดลงกว่า 50 % เทียบกับ LAMBORGHINI HURACAN นอกจากนั้น ยังลดจำนวนจุดเชื่อม (WELDING BEAD) ลงมาก ทำให้เพิ่มความต้านทานแรงบิดของตัวถังได้มากถึง 20 % หากเทียบกับโครงสร้างแบบสเปศฟเรม (SPACEFRAME) ดั้งเดิม ช่วยให้ห้องโดยสารมีความปลอดภัยสูงขึ้น รวมถึงการขับขี่เฉียบคมยิ่งขึ้นอีกด้วย
LAMBORGHINI TEMERARIO จึงเป็นผลงานชิ้นเอกของค่ายกระทิงดุ ที่ใส่ใจทุกรายละเอียด และทุกมิติของการใช้งาน เพื่อการขับขี่ที่สมบูรณ์แบบในทุกสถานการณ์อย่างแท้จริง