สัมภาษณ์พิเศษ
โมริคาซุ ชกกิ
ปีนี้ "อีซูซุ" ดำเนินธุรกิจในประเทศไทยครบ 50 ปี โดยประสบความสำเร็จอย่างสูง สามารถครองแชมพ์
ยอดขายพิคอัพได้อย่างต่อเนื่องยาวนาน ท่ามกลางการแข่งขันในตลาดที่เข้มข้น 4 WHEELS
สัมภาษณ์พิเศษ โมริคาซุ ชกกิ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ตรีเพชรอีซูซุเซลส์ จำกัด ถึงก้าวต่อไปกับความสำเร็จที่
เกิดขึ้นในประเทศไทย
4 WHEELS : คุณมองทิศทางตลาดรถยนต์โดยรวมในปีนี้อย่างไร ?
ชกกิ : ตลาดรถยนต์ในปีที่แล้วหดตัวลง ถ้าเทียบกับปี 2548 ยอดจำหน่ายรวมมีประมาณ 682,000 คัน
โดย อีซูซุ สามารถทำยอดขายได้สูงสุดเป็นประวัติการณ์ คือ 179,000 คัน (เป็นยอดรวมรถพิคอัพ
เอสยูวี และรถตั้งแต่ 2 ตันขึ้นไป) แต่สำหรับปีนี้คาดว่ายอดขายรวมน่าจะใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา คือ
690,000 คัน ขณะที่ อีซูซุ คาดว่าจะเติบโตเพิ่มขึ้นเล็กน้อย หรือมียอดขายประมาณ 182,000 คัน
ซึ่งการชะลอตัวของตลาดนั้นมีจากหลายปัจจัย โดยเฉพาะเรื่องสถานการณ์ทางการเมือง และ
เศรษฐกิจที่ยังไม่แน่ชัด
4 WHEELS : สถานการณ์ของอุตสาหกรรมรถยนต์ไทยในระยะสั้น และระยะยาวจะเป็นอย่างไร ?
ชกกิ : เนื่องจากขณะนี้ภาวะเศรษฐกิจ และการเมือง ยังไม่แน่ชัด ส่งผลด้านจิตวิทยาต่อความ
เชื่อมั่นของผู้บริโภค ว่าผู้มีกำลังซื้อยังไม่อยากซื้อจนกว่าสถานการณ์ต่างๆ จะแน่ชัดมากกว่านี้
และจากการชะลอตัวในปี 2549 และการทรงตัวของปี 2550 คาดว่าในระยะยาวโครง
สร้างทางเศรษฐกิจของประเทศไทยจะแข็งแกร่งพอที่จะช่วยให้เศรษฐกิจขยายตัวต่อไปได้
ตลาดรถยนต์เมืองไทยจะขยายตัวเพิ่มมากขึ้น ไม่เฉพาะแต่ยอดจำหน่าย และยอดการ
ผลิตภายในประเทศเท่านั้น แต่ประเทศไทยยังกลายเป็นศูนย์กลางการผลิตเพื่อส่งออก
จากยอดการส่งออกที่จะขยายตัวเพิ่มมากขึ้นอีกด้วย
4 WHEELS : โครงสร้างตลาดรถยนต์ไทยในอนาคตจะมีการเปลี่ยนแปลงหรือไม่ ?
ชกกิ : โครงสร้างตลาดรถยนต์เมืองไทยในปัจจุบัน รถพิคอัพมีส่วนแบ่งทางการตลาดมากที่สุด คือ
กว่า 60 % ประเทศไทยเป็นฐานการผลิตเพื่อการส่งออกรถพิคอัพไปจำหน่ายทั่วโลก เหตุผลที่รถ
พิคอัพได้รับความนิยมมาก เนื่องจากเหมาะกับลักษณะการใช้ชีวิตของคนไทย เป็นรถอเนกประสงค์
สามารถใช้ได้ทั้งส่วนตัวและทำงาน
โครงสร้างในระยะยาว คงไม่มีการเปลี่ยนแปลงไปจากนี้ และหากประเทศไทยเป็นฐานการผลิต
เพื่อส่งออกรถพิคอัพไปจำหน่ายทั่วโลก จะเป็นส่วนส่งเสริมให้ตลาดรถพิคอัพมีการขยายตัวมากขึ้น
ทั้งในและต่างประเทศ
4 WHEELS : คุณวางนโยบายและทิศทางการตลาดของ อีซูซุ ไว้อย่างไร ?
ชกกิ : นโยบายหลักของบริษัท ฯ ยังไม่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ซึ่งจากการดำเนินงานมา 50 ปี อีซูซุ ได้
รับความเชื่อถือจากลูกค้าชาวไทยให้เป็นบแรนด์ยอดนิยมบแรนด์หนึ่ง การทำตลาดจากนี้ จะเน้นการ
สร้างให้ลูกค้ามีความเชื่อมั่นในบแรนด์ อีซูซุ มากขึ้น ด้วยการพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้มีความแข็งแกร่ง
ทนทาน ประหยัดน้ำมัน ซ่อมแซม และบำรุงรักษาง่าย นอกจากนี้จะเน้นการพัฒนารถให้เหมาะสมกับ
ลักษณะการใช้งาน และในชีวิตประจำวัน รวมถึงอยากให้ลูกค้าใช้รถแล้วมีความพึงพอใจ มีความสุข
และภูมิใจที่ได้เป็นเจ้าของรถ อีซูซุ
นอกจากนี้จะพัฒนาเครือข่ายโชว์รูม ศูนย์บริการ ศูนย์อะไหล่ ให้สามารถรองรับการใช้งานของลูกค้า
ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตลอดอายุการใช้งานของรถ ถ้าสามารถดำเนินนโยบายนี้ได้อย่างมั่นคงต่อเนื่อง
ลูกค้าจะไว้วางใจใช้รถ อีซูซุ ต่อไป สมกับการวางตำแหน่งผลิตภัณฑ์ของบริษัท ฯ ว่า อีซูซุ จะเป็นรถที่
มีความคุ้มค่าเงินสูงสุดสำหรับลูกค้า
ปีนี้เป็นปีที่บริษัท ฯ ดำเนินธุรกิจในประเทศไทยครบ 50 ปี ได้มีการจัดกิจกรรมทางการตลาดมากมาย
ตลอดทั้งปี เช่น ร่วมสนับสนุนการแข่งขันมหกรรมกีฬาเชิงท่องเที่ยวนานาชาติ ที่ จ. ภูเก็ต/งาน "อีซูซุ
ออลล์ สตาร์ ฮีโร 2007"/การสร้างมังกรทองเฉลิมพระเกียรติตัวใหม่ ยาว 80 เมตร
เพื่อเฉลิมฉลองวาระที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ฯ ทรงเจริญพระชนมายุครบ 80 ปี และโครงการทำความดีถวายในหลวง
ด้านกิจกรรมเพื่อสังคม บริษัท ฯ ตระหนักดีว่า ความสำเร็จที่เกิดขึ้นมาจากการสนับสนุนของคนไทย
จึงได้เกิด มูลนิธิกลุ่มอีซูซุ เพื่อดำเนินกิจกรรมต่างๆ เพื่อสาธารณประโยชน์ ปัจจุบันมูลนิธิ ฯ มีเงินทุน
480 ล้านบาท โดยใช้ดอกผลจากเงินกองทุนนี้ ให้การศึกษาแก่เด็กนักเรียนระดับมัธยมศึกษา และ
นักศึกษาระดับมหาวิทยาลัย สร้างอาคารเรียนในถิ่นทุรกันดาร รวมทั้งช่วยเหลือด้านการจราจร
นอกจากนี้ยังมีโครงการ อีซูซุ เยาวชนสัมพันธ์ ซึ่งเป็นการประกวดวาดภาพพร้อมโพสเตอร์คำขวัญ
และกิจกรรม มวยไทย อีซซุ คัพ
4 WHEELS : คุณมองว่าความสำเร็จของ อีซูซุ เกิดจากปัจจัยใด ?
ชกกิ : อีซูซุ ประสบความสำเร็จการดำเนินธุรกิจในประเทศไทย มายาวนานถึง 50 ปี เป็นเพราะ
ผู้บริโภคชาวไทยให้ความเชื่อถือในบแรนด์ อีซูซุ และให้การสนับสนุน อีซูซุ ตลอดมา รวมทั้งการวาง
แผนการดำเนินงานของบริษัท ฯ ที่มุ่งพัฒนาผลิตภัณฑ์ โดยคำนึงถึงความต้องการของคนไทยเป็น
หลัก ให้บริการในแบบที่คนไทยต้องการ ส่งผลให้ อีซูซุ เป็นรถเพื่อการพาณิชย์ที่คนไทยให้ความไว้
วางใจมากที่สุด และทำให้ อีซูซุ ประสบความสำเร็จมาจนถึงปัจจุบัน
แม้ ตรีเพชรอีซูซุเซลส์ ฯ จะเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่างไทย-ญี่ปุ่น แต่มีวัฒนธรรมเป็นของตัวเอง เรียกว่า
วัฒนธรรม ตรีเพชร ที่ผสมผสานความเป็นไทยและญี่ปุ่นไว้ด้วยกัน ซึ่งวัฒนธรรมองค์กรนี้ เป็นตัว
ขับเคลื่อนทางธุรกิจให้ อีซูซุ เติบโตมาจนถึงปัจจุบัน จากนี้ไป ต้องปรับปรุงแนวนโยบายให้เหมาะสม
กับการเปลี่ยนแปลงของตลาด เพื่อให้ อีซูซุ ยังคงรักษาความเป็นบแรนด์ยอดนิยมไว้ได้
นอกจากนี้ สิ่งหนึ่งของความสำเร็จ เกิดขึ้นจากพนักงาน ที่ทำงานด้วยใจ ทำงานเป็นทีม ไม่ได้
ทำงานเพราะเป็นหน้าที่ ดังนั้นการทำงานจะทำด้วยความเต็มที่ และบริษัท ฯ ยังมีนโยบายให้
พนักงานทุกคนคิดเอง รับผิดชอบเอง ไม่มีนโยบายที่จะให้พนักงานรับคำสั่งจากเบื้องบนเพียง
อย่างเดียว ดังนั้น ผู้บริหารจะได้รับความคิดเห็นที่หลากหลายในการนำไปปรับใช้กับการบริหารงาน
4 WHEELS : บริษัทแม่มองตลาดเมืองไทยอย่างไร ?
ชกกิ : ประเทศไทยเป็นตลาดที่สำคัญมากสำหรับ อีซูซุ จะเห็นได้จากการที่ อีซูซุ ย้ายฐานการผลิตรถ
พิคอัพจากประเทศญี่ปุ่นมาที่ประเทศไทย และวางเป้าหมายให้ไทยเป็นฐานเพื่อผลักดันให้ อีซูซุ ดี-
แมกซ์ ที่ผลิตในประเทศไทย ประสบความสำเร็จในตลาดโลก ด้านการส่งออก ส่วน อีซูซุ ในประเทศไทย ไม่
ได้ทำตลาดเพื่อจำหน่ายในประเทศเท่านั้น แต่ถือเป็นฐานการผลิตของ อีซูซุ ด้วย จึงมองว่า ประเทศ
ไทยมีความสำคัญเท่าเทียมกับตลาดญี่ปุ่น
4 WHEELS : การดำเนินงานในระยะเวลา 50 ปีที่ผ่านมาเป็นอย่างไร ?
ชกกิ : อีซูซุ เริ่มดำเนินธุรกิจในประเทศไทยปี 2500 จนถึงปี 2549 มียอดการจำหน่าย และการผลิต
เฉพาะในประเทศไทยรวม 2 ล้านคัน สิ่งที่น่าสนใจ คือ อีซูซุ ดำเนินธุรกิจในประเทศไทยมา 50 ปี
ความสำเร็จของยอดจำหน่ายรวม 1 ล้านคันแรก เกิดขึ้นในปี 2540 จากนั้นมาอีกเพียง 9 ปี บริษัท ฯ
สามารถสร้างยอดจำหน่ายได้อีก 1 ล้านคัน แสดงให้เห็นถึงการขยายตัวของตลาดที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก
บริษัท ฯ เริ่มส่งออกรถยนต์ อีซูซุ ดี-แมกซ์ อย่างเป็นทางการในปี 2546 ยอดส่งออกมีอัตราเพิ่มขึ้นทุกปี
โดยปี 2549 ส่งออกสูงถึง 120,000 คัน ทั้งรถสำเร็จรูป และชิ้นส่วน CKD และตั้งเป้ายอดการส่งออก
ในปีนี้ไว้ที่ 130,000 คัน เมื่อรวมกับยอดจำหน่ายในประเทศที่ตั้งเป้าไว้ที่ 182,000 คัน ทำให้ อีซูซุ
มียอดจำหน่ายรถยนต์มากกว่า 300,000 คัน
ส่วนการขยายเครือข่ายของ อีซูซุ ด้วยการจัดตั้งผู้แทนจำหน่ายในหลายประเทศทั่วโลก ปัจจุบันมีกว่า
130 ประเทศ โดยตลาดที่มีอัตราการขยายตัวมากที่สุด คือ ภูมิภาคตะวันออกกลาง โดยเฉพาะ
ซาอุดิอารเบีย และภูมิภาคยุโรป โดยได้เตรียมแต่งตั้งผู้แทนจำหน่ายขึ้นในประเทศฟินแลนด์
และสวีเดน โดยพยายามขยายเข้าไปในประเทศใหม่ และเพิ่มจำนวนผู้จำหน่ายในประเทศเดิมที่มีอยู่
การส่งออกรถยนต์ อีซูซุ ดี-แมกซ์ จากประเทศไทยเพื่อจำหน่ายยังทั่วโลกนั้น
มีเอกลักษณ์ที่ไม่เหมือนกับผู้ผลิตรายอื่น เนื่องจาก อีซูซุ จะส่งออกรถยนต์พร้อมกลยุทธ์ทางการตลาดที่พัฒนาขึ้นในประเทศไทยไปพร้อมตัวรถด้วย ซึ่ง อีซูซุ เมืองไทย จะเป็นแบบอย่างด้านการตลาดให้กับ อีซูซุ ทั่วโลก ทั้งวิธีการขาย
กลยุทธ์ทางการตลาด การทำกิจกรรมต่างๆ
4 WHEELS : การสร้างกลยุทธ์ทางการตลาดของ อีซูซุ ให้เหมือนกันทั่วโลก มีวิธีการอย่างไร ?
ชกกิ : อีซูซุ มีโรงเรียนการตลาดชื่อ ตรีเพชรอีซูซุ มาร์เกทิง สกูล เป็นหลักสูตรสำหรับบุคลากรทั้งในและ
ต่างประเทศ โดยมากมักเป็นบุคลากรจากต่างประเทศที่มาศึกษาและดูงานในประเทศไทย
เรียนรู้วิธีการทำตลาดของ อีซูซุ แล้วนำไปปรับใช้ในประเทศของตนเอง บางเรื่องอาจใช้ไม่ได้ 100 %
เนื่องจากตลาดและวัฒนธรรมมีความแตกต่างกัน สิ่งนี้ นับเป็นความภาคภูมิใจของบริษัท ฯ ที่ประเทศไทยเป็นศูนย์
กลางสำหรับ อีซูซุ
นอกจากนี้ ได้มีการส่งบุคลากรคนไทยเข้าไปทำงานในประเทศต่างๆ ที่ อีซูซุ ดำเนินธุรกิจอยู่ เพื่อช่วย
พัฒนาระบบต่างๆ ให้เป็นไปในแนวทางเดียวกับ อีซูซุ ประเทศไทย รวมทั้งการแต่งตั้งผู้บริหารที่เคย
มีประสบการณ์การบริหารงานในประเทศไทย ไปนั่งในตำแหน่งผู้บริหารของบางบริษัท ฯ ที่เปิดใหม่
ในต่างประเทศด้วย
4 WHEELS : คุณมองว่าการแข่งขันของตลาดรถพิคอัพเป็นอย่างไร ?
ชกกิ : เป็นการแข่งขันที่รุนแรงมาก เนื่องจาก รถพิคอัพเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดในอุตสาหกรรมรถยนต์
เมืองไทย ผู้ผลิตทุกบริษัทย่อมต้องการส่วนแบ่งในตลาดนี้ และพยายามอย่างเต็มที่ที่จะขายรถให้ได้
มาก ซึ่งการแข่งขันนี้มีความรุนแรงมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน โดย อีซูซุ มีหน้าที่คิดว่า จะทำอย่างไร
ให้ลูกค้าเลือกใช้รถ อีซูซุ เพื่อที่บริษัท ฯ จะสามารถชนะในการแข่งขัน
บริษัท ฯ ไม่มีนโยบายแข่งขันด้านสงครามราคา มองว่าการตัดราคารขายไปเรื่อยๆ จะส่งผลกระทบ
ต่อลูกค้า หากต้องการขายต่อรถ แต่พยายามแข่งขัน โดยทำให้ลูกค้าใช้รถแล้วมีความสุข นั่นคือ
รถยนต์ อีซูซุ ต้องมีความคุ้มค่าเงินสูงสุด ทั้งด้านความแข็งแกร่ง ทนทาน ประหยัดน้ำมัน ช่วยให้
ลูกค้าประหยัดค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษา
4 WHEELS : ปีนี้จะมีการเปิดตัวรถใหม่หรือไม่ ?
ชกกิ : ไม่มี เนื่องจากปีที่ผ่านมา อีซูซู ได้เปิดตัว อีซูซู ดี-แมกซ์ ซูเพอร์ คอมมอนเรล รุ่นใหม่ของโลก
ไปแล้ว โดยผลิตภัณฑ์หลักในการทำตลาดมีอยู่ 2 รุ่น คือ อีซูซุ มิว-7 และ ดี-แมกซ์
ทั้งนี้ อีซูซุ มีบริษัทลูก คือ อีซูซุ เทคนิคัล เซนเตอร์ ออฟ เอเชีย เพื่อทำวิจัยการตลาดถึงความต้องการ
รถยนต์ในประเทศไทย และเอเชีย
4 WHEELS : มีแผนขยายการลงทุนเพิ่มหรือไม่ ?
ชกกิ : อีซูซุ มีการลงทุนในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง ตามนโยบายหลักของบริษัท ฯ โดยปีที่ผ่านมา
ได้ย้ายการผลิตรถบรรทุกขนาดกลาง/ใหญ่ จากโรงงานที่สำโรง ไปยังนิคมอุตสาหกรรมเกทเวย์ และ
ขยายไลน์การผลิตรถที่โรงงานสำโรงเพิ่มขึ้น โดยตั้งเป้าผลิตรถพิคอัพ อีซูซุ ดี-แมกซ์ และ มิว-7
200,000 คัน/ปี
นอกจากนี้ได้มีการปรับปรุง และขยายเครือข่ายโชว์รูม ศูนย์บริการ และศูนย์อะไหล่ เพิ่มขึ้น โดยปีนี้
จะขยายเพิ่มอีก 1 แห่ง จากเดิมมี 250 แห่งทั่วประเทศ
4 WHEELS : มีความรู้สึกอย่างไรกับการกลับมารับตำแหน่งในประเทศไทยอีกครั้ง ขณะที่สถานการณ์
ทางเศรษฐกิจชะลอตัว ?
ชกกิ : การเข้ามารับตำแหน่งอีกครั้ง แม้ว่าความรับผิดชอบจะเพิ่มขึ้น แต่มองว่าเป็นสิ่งท้าทายและน่า
สนใจมาก เนื่องจากตลาดเมืองไทยเป็นตลาดที่สำคัญมากสำหรับ อีซูซุ หากเทียบกับประเทศญี่ปุ่นแล้ว
ยอดจำหน่ายรถของประเทศไทยเมื่อคิดเป็นจำนวนเงินอาจน้อยกว่า แต่หากคิดเป็นจำนวนรถ ยอดการ
ผลิต และจำหน่ายรถในประเทศไทยมีมากกว่า เพราะญี่ปุ่นไม่มีการผลิตรถพิคอัพ
ผมมองว่าการทำงานในประเทศไทยเป็นสิ่งที่ง่าย เนื่องจากมีปัจจัยสนับสนุน คือ 1. บุคลากรดี มีความ
สามารถ ทั้งพนักงานในบริษัท ฯ และโรงงาน ทุกคนให้ความร่วมมือกับบริษัทเป็นอย่างดี 2. ผู้แทน
จำหน่ายของ อีซูซุ ต่างมีความสัมพันธ์อันดีกับบริษัทมายาวนาน ทุกคนให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี 3.
สื่อมวลชนไทยให้การสนับสนุน อีซูซุ เป็นอย่างดี และ 4. ลูกค้าผู้ใช้รถ อีซูซุ ดังนั้นการกลับมาทำงาน
ที่นี่อีกครั้ง จึงไม่มีสิ่งที่น่าหนักใจ
ABOUT THE AUTHOR
น
นุสรา เงินเจริญ
ภาพโดย : เกรียงศักดิ์ ปันสมนิตยสาร 417 ฉบับเดือน มิถุนายน ปี 2550
คอลัมน์ Online : สัมภาษณ์พิเศษ(4wheels)