ชีวิตอิสระ
HILUX VIGO CHALLENGER CARAVAN TRIP TO SILK ROAD
บนเส้นทางที่ยาวไกลกว่า 7,000 กิโลเมตร จากเมืองซีอาน นครหลวงโบราณกว่า 3,000 ปีของจีนแผ่นดินใหญ่ เป็นจุดเริ่มต้นการเดินทางของพ่อค้าวาณิช ซึ่งมีจุดหมายปลายทางอยู่ที่ กรุงคอนสแตนติโนเปิล เมืองหลวงแห่งอาณาจักรโรมันตะวันออก เป็นเส้นทางที่เชื่อมโลกตะวันออกกับโลกตะวันตกให้มาบรรจบกัน ชนรุ่นหลังได้ขนานนามเส้นทางสายนี้ว่า "เส้นทางแพรไหม"
เส้นทางสายนี้มิได้มีแต่การค้าขายสินค้าเพียงเท่านั้น หากแต่ยังได้นำเอาวัฒนธรรม ศาสนา ตลอดจนวิถีชีวิตของคน 2 ซีกโลกมารวมกัน จนเกิดการผสมผสานของวัฒนธรรมทั้ง 2 ฝั่งอย่างกลมกลืน เป็นมรดกอันล้ำค่าให้คนรุ่นหลังได้เล่าขานไม่รู้จบ
เส้นทางแพรไหม หรือ "SILK ROAD" ในภาษาอังกฤษ ได้รับการขนานนามครั้งแรกโดยนักภูมิศาสตร์ ชาวเยอรมัน ชื่อ เฟอร์ดินานด์ ฟอน ริชท์โฮเฟน (FERDINAND VON RICHTHOFEN) ในหนังสือชื่อประเทศจีน (CHINA) พิมพ์ในปี 1877 ในภาษาจีนจะเรียกเส้นทางสายนี้ว่า "ซือโฉวจือลู่" (SI CHOU ZHI LU) ซึ่งคำว่า "ซือ" หมายถึง ผ้าไหม คำว่า "โฉว" หมายถึง ผ้าแพร ส่วน "จือลู่" หมายถึง เส้นทาง เมื่อรวมกันแล้วก็จะเป็น "เส้นทางแพรไหม"
เส้นทางสายนี้มีจุดเริ่มต้นจากจักรพรรดิฮั่นหวู่ติ (HAN WU DI) จักรพรรดิองค์ที่ 5 แห่งราชวงศ์ฮั่น เพื่อใช้เป็นเส้นทางในการบุกยึดครองดินแดนฉนวนเหอซี ที่ตั้งอยู่ฝั่งตะวันตกของแม่น้ำเหลือง หรือที่ชาวจีนเรียกว่า หวงเหอ ระหว่างเทือกเขาจีเหลียนซานตอนใต้ กับตอนเหนือของทะเลทรายโกบี ซึ่งเป็นช่องทางยุทธศาสตร์สำคัญในสมัยนั้น พร้อมทั้งต้องการปราบปรามชนกลุ่มน้อยฮั่น ซุ๋ง หนู (HUN XIOUNG NU)
ต่อมาจึงใช้เป็นเส้นทางการค้า และมาเจริญถึงขีดสุดในสมัยราชวงค์ถัง เส้นทางสายนี้ได้นำการแลก
เปลี่ยนสินค้า และวัฒนธรรมของ 2 ฝั่งโลก สินค้าที่จุดประกายให้เส้นทางนี้มีความสำคัญยิ่งในสมัยนั้น ก็คือ ผ้าไหม โดยมีค่าประดุจทองคำเมื่อเดินทางไปถึงอาณาจักรโรมัน
จากมหานครฉางอัน (CHANG'AN) หรือ ซีอัน (XI'AN) ในปัจจุบัน ไปสิ้นสุดที่กรุงคอนสแตนติโนเปิล(CONSTANTINOPLE) เมืองหลวงแห่งอาณาจักรโรมันตะวันออก หรือกรุงอิสตันบูล ประเทศตุรกี ในปัจจุบัน รวมระยะทางยาวไกลกว่า 7,000 กิโลเมตร ผ้าไหมเป็นสินค้าจากฝั่งตะวันออก ได้เดินทางรอนแรมผ่านทะเลทรายอันเวิ้งว้าง ที่ร้อนระอุดั่งกองเพลิงในตอนกลางวัน และหนาวสะท้านเมื่อยามอาทิตย์อัสดง ย่ำขึ้นย่ำลงบนเทือกเขาสูงชัน กลายเป็นสินค้าที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากของคนชั้นสูงแห่งอาณาจักรโรมัน
ขณะเดียวกัน สินค้าจากฝั่งตะวันตก ซึ่งเป็นที่ต้องการของชาวจีน ก็คือ "ซีเทียนหม่า" (XI TIAN MA) ซึ่งเป็นม้าฝีเท้าดี มีความอดทนสูง จนมีคนเปรียบเปรยว่า เวลาที่ซีเทียนหม่าวิ่งกระโจนนั้น เร็วยิ่งกว่านกนางแอ่นบินถลาลมเสียอีก จึงเป็นสิ่งที่สุดปรารถนาของจักรพรรดิจีนในยุคนั้นที่จะได้มาครอบครอง และใช้เป็นม้าศึกในมหากองทัพอันเกรียงไกร
นอกจากการแลกเปลี่ยนสินค้าของทั้ง 2 ซีกโลกบนเส้นทางสายนี้ พ่อค้าวาณิชของทั้ง 2 ฝั่งโลก ยังได้นำเอาวัฒนธรรมและวิถีชีวิต ติดตัวไปด้วยโดยไม่รู้ตัว จึงทำให้เกิดอารยธรรมผสมผสานกันขึ้นระหว่างโลกตะวันออกกับโลกตะวันตก ตลอด 2 ฟากฝั่งของเส้นทางสายนี้ที่พาดผ่าน
ไฮลักซ์ วีโก
สู่เส้นทางแพรไหม
นับตั้งแต่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด เปิดตัว ไฮลักซ์ วีโก เข้าสู่ตลาด เมื่อปี 2547 ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ได้สร้างตำนานการเดินทางอันยาวไกลในรูปแบบคาราวาน จากประเทศไทย ไปยังดินแดนที่เปี่ยมไปด้วยเสน่ห์ และเป็นที่ใฝ่ฝันในการได้ไปเยือนของนักเดินทางทั่วโลก
กิจกรรมคาราวาน ไฮลักซ์ วีโก ออกเดินทางครั้งแรกเมื่อเดือนกันยายน 2547 เส้นทาง เชียงของ จากไทย สู่เมืองลี่เจียง สาธารณรัฐประชาชนจีน วิ่งผ่านเส้นทางสุดโหดของเทือกเขาสูงในลาวเหนือ ลัดเลาะเลียบหน้าผาชัน ก่อนเข้าสู่ชายแดนจีน มุ่งหน้าไปตามถนนสายไฮเวย์ บางกอก-คุนหมิง สิ้นสุดการเดินทางที่ภูเขาหิมะมังกรหยก เมืองลี่เจียง
อีก 1 ปีต่อมา คาราวาน ไฮลักซ์ วีโก เดินทางต่อจากเมืองลี่เจียง สู่กรุงลาซา เขตปกครองตนเองทิเบต
ดินแดนที่ได้รับการกล่าวขานว่าเป็นหลังคาโลก ตลอดเส้นทาง 2,548 กิโลเมตร รวมระยะเวลา 12 วัน ผ่านเส้นทางสุดโหดหลากหลายรูปแบบ ผ่านระดับความสูงตั้งแต่ 2.5 เมตร จากระดับน้ำทะเลที่กรุงเทพ ฯ จนถึงระดับความสูงกว่า 5,000 เมตร บนดินแดนหลังคาโลก นับเป็นการทดสอบที่ทรหดทั้งคนและรถอีกทริพหนึ่ง
การเดินทางปีที่ 3 ในรูปแบบคาราวานของ ไฮลักซ์ วีโก ระหว่างวันที่ 3-15 ตุลาคม 2550 รวมเวลา 13วัน โดยมีสื่อมวลชนสายยานยนต์ 33 ชีวิต ร่วมเดินทาง ใช้ชื่อรายการว่า "HILUX VIGO CHALLENGER CARAVAN TRIP TO SILK ROAD: EPISODE # 3" การเดินทางครั้งประวัติศาสตร์ บนเส้นทางแพรไหม ที่เชื่อมอารยธรรม 2 ฝั่งโลก จากเมืองซีอาน สาธารณรัฐประชาชนจีน สู่เมืองทัชเคนท์ ประเทศอุซเบกิสถาน ศูนย์กลางของเอเชียกลาง รวมระยะทางกว่า 5,000 กิโลเมตร เพื่อพิสูจน์สมรรถนะของ ไฮลักซ์ วีโก พร้อมสัมผัสประสบการณ์กับความท้าทาย ความสวยงามของอารยธรรมบนเส้นทางแพรไหม ซึ่งเป็นมหากาพย์เส้นทางการค้าที่เก่าแก่กว่า 2,000 ปี
กรุงเทพ ฯ-กวางเจา-ซีอัน
ปฐมบทของการเดินทาง 6 ชั่วโมง บนนกเหล็ก
เช้าของวันที่ 3 ตุลาคม 2550 เวลา 08.00 น. โดยประมาณ กว่า 40 ชีวิต ที่ประกอบด้วย คณะสื่อมวลชนสายยานยนต์และเจ้าหน้าที่จาก บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด รวมทั้งวิทยากรบรรยายพิเศษ ศจ. ดร. ชาญวิทย์ เกษตรศิริ อาจารย์สมฤทธิ์ ลือชัย และอาจารย์วิโรจน์ ตั้งวาณิชย์ ที่จะคอยให้ความรู้แก่พวกเรา ได้มารวมกันที่สนามบินสุวรรณภูมิ
หลังจากที่ล้อของเครื่อง AIR BUS A 320 เที่ยวบิน CZ 362 ของสายการบิน CHINA SOUTHERN AIRLINES ได้ลอยพ้นพื้นรันเวย์ของสนามบินสุวรรณภูมิ ในเวลาประมาณ 11.00 น. ผมจึงปรับเวลาบนนาฬิกาข้อมือ มาใช้เวลาของประเทศจีน ซึ่งจะเร็วกว่าบ้านเรา 1 ชั่วโมง มารู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่นางฟ้ามาปลุกให้ปรับเบาะตรงและคาดเข็มขัด เวลา 16.30 น. เป็นเวลาที่ล้อของเจ้านกเหล็กลงแตะพื้นรันเวย์สนามบินเมืองกวางเจา
ขั้นตอนผ่านการตรวจคนเข้าเมืองและศุลกากรที่นี่ก็ไม่ต่างจากที่อื่นๆ ดูเหมือนคณะของเราจะผ่านไปด้วยดี แต่ก็เกิดเรื่องขึ้นจนได้ เมื่อเพื่อนสื่อมวลชนท่านหนึ่งมีอาการตัวร้อนเป็นไข้ ทางเจ้าหน้าที่จึงไม่อนุญาตให้เข้าประเทศ และขอกักตัวไว้ตรวจ 1 คืน พี่สุชาติซึ่งเป็นไกด์ของเราต้องอยู่เป็นเพื่อนและนอนที่กวางเจาในคืนนี้
ส่วนคณะทั้งหมดได้ต่อเครื่องภายในประเทศโดยเที่ยวบิน CZ 3201 สายการบิน CHINA SOUTHERN AIRLINES เพื่อไปยังเมืองซีอัน โดยใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง ก็ถึงสนามบินเมืองซีอัน ต่อรถบัสถึงโรงแรมที่พักเวลาประมาณ 20.00 น.
ซีอัน
มหานครโบราณกว่า 3,000 ปี
หลังอาหารเช้า คณะของเรามีเวลา 1 วันเต็มๆ ที่จะทำความรู้จักกับเมืองนี้ วันนี้อุณหภูมิกำลังเย็น
สบายๆ ประมาณ 15-18 องศา รถบัสจำนวน 2 คัน ได้พาคณะเราออกเดินทาง เพื่อนำไปชม มหาสุสานจักรพรรดิจิ๋นซี ซึ่งตั้งอยู่ในเขตเมืองหลินถง (LIN TONG) ห่างจากเมืองซีอันไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือประมาณ 30 กิโลเมตร สร้างโดยจักรพรรดิจิ๋นซี โดยได้เริ่มก่อสร้างหลังจากทรงขึ้นครองราชย์ในปี 247 จนถึงปี 210 ก่อนคริสตกาล
จากการตรวจสอบมหาสุสานด้วยเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ ยืนยันว่าภายในสุสานมีสารปรอทจำนวน
มากผิดปกติ หม่าเซียน นักบันทึกในสมัยราชวงศ์ฮั่น ได้พรรณาถึงมหาสุสานว่า
"ภายหลังจากรวบรวมประเทศจีนเป็นหนึ่งเดียวแล้ว พระองค์ทรงเกณฑ์แรงงานและไพร่พล ตลอดจน
เชลยศึกกว่า 700,000 คน มาสร้างมหาสุสานใต้ดิน ตัวโลงศพทำด้วยทองเหลือง ประดิษฐานไว้บนบังลังก์ทอง ภายในสร้างเป็นพระราชวัง พร้อมสมบัติอันประมาณค่ามิได้ นายช่างได้ประดิษฐ์คันยิงศร ซึ่งจะยิงโดยอัตโนมัติ ถ้าหากผู้ใดคิดเข้ามาขุดค้น ภายในมีสารปรอทซึ่งจัดทำขึ้นโดยกลไกพิเศษไหลเวียนไปมา เหมือนกระแสน้ำ พระองค์ทรงฝังเหล่านางกำนัลใน และข้าราชบริพาร ไว้ภายใน ส่วนนายช่างผู้สร้าง และแรงงาน ก็ถูกฝังไว้ด้วย ไม่มีใครเล็ดลอดออกมาได้แม้แต่ผู้เดียว"
ห่างจากตัวสุสานไปทางทิศตะวันออกราว 1.5 กิโลเมตร เป็นสุสานกองทัพทหารดินเผา ปิงหม่าหยง
เป็นกองทัพรูปปั้นทหารและม้าดินเผา จำนวนกว่า 8,000 ตัว ถูกฝังไว้ใต้ดินตั้งแต่สมัยราชวงศ์ถัง ถูกขุดพบโดยชาวนาในปี 1974
เมื่อเที่ยวชมมหาสุสานเสร็จ จึงเดินทางไปนมัสการ ต้าเอี้ยนถ่า หรือ เจดีย์ห่านป่าใหญ่ ในวัดต้าสือเอิน
ซื่อ เป็นสถานที่ซึ่งพระถังซัมจั๋ง ได้จำพรรษา และแปลพระคัมภีร์ไตรปิฎกหลังจากกลับจากอินเดีย
หลังอาหารมื้อค่ำได้ชมการแสดงนาฏศิลป์สมัยราชวงศ์ถัง และกลับโรงแรมพักผ่อน เพื่อเตรียมแรงไว้
ลุยต่อพรุ่งนี้ กับกิจกรรมคาราวาน ไฮลักซ์ วีโก วันแรก บนเส้นทาง ซีอัน-หลานโจว รวมระยะทาง 702
กิโลเมตร
โปรดติดตามตอนต่อไป
ขอบคุณ
บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด สนับสนุนการเดินทาง
ซีอัน
เป็นเมืองหลวงของมณฑลฉ่านซี ตั้งอยู่ในหุบเขาบนฝั่งแม่น้ำเว่ย (WEI) ซีอัน มีความหมายว่า ความ
สงบสุขทางตะวันตก ในอดีต ซีอัน ได้เป็นเมืองหลวงที่ยาวนานถึง 13 ราชวงศ์ มีอายุเก่าแก่กว่า 3,000 ปี โดยมีชื่อเดิมว่า ฉางอัน ซึ่งมีความหมายว่า "ความสงบสุขชั่วนิรันดร์"
มหาสุสานจักรพรรดิจิ๋นซี
ตั้งอยู่ที่ตำบลหลินตง ห่างจากเมืองซีอันไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือประมาณ 30 กิโลเมตร ค้นพบ
โดยบังเอิญเมื่อ 29 มีนาคม 2517 โดยชาวนา ขณะที่ขุดดินเพื่อทำบ่อน้ำ ปัจจุบันรัฐบาลจีนขุดค้นพบวัตถุโบราณที่เป็นกองทัพทหารดินเผา สรรพาวุธ รถม้า และม้าศึก จำนวนทั้งสิ้นกว่า 7,400 ชิ้น ภายในบริเวณพื้นที่หลุมสุสานกว่า 25,000 ตรม. มีการคาดคะเนว่าอาณาเขตของมหาสุสานจักรพรรดิจิ๋นซี จะมีพื้นที่มากกว่า 2,180 ตร. กม. มหาสุสานจักรพรรดิจิ๋นซี ได้รับการคัดเลือกให้เป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมในปี 2530
มหาสุสานจักรพรรดิจิ๋นซี เริ่มก่อสร้างในสมัยจักรพรรดิจิ๋นซี ใช้ระยะเวลาก่อสร้างประมาณ 38 ปี ตั้งแต่ปี 246-208 ก่อนคริสตกาล ซึ่งอาณาเขตพื้นที่ของสุสานรวมทั้งสิ้น 2,180 ตร. กม. แบ่งออกเป็นพระราชฐานชั้นใน และพระราชฐานชั้นนอก ภายในสุสานใช้บรรจุพระบรมศพของจักรพรรดิจิ๋นซี ทรัพย์สมบัติต่างๆ ตลอดจนกองกำลังทหาร นางสนมและนางกำนัล รถม้าและขุนพล
โครงสร้างและสถาปัตยกรรมโดยรวมของสุสาน มีพื้นที่เป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า มีความลึกเฉลี่ย 35 เมตร กว้าง 145 เมตร และยาว 170 เมตร สำหรับห้องบรรจุพระบรมศพอยู่จุดกึ่งกลางของสุสาน มีความสูง 15 เมตร ในส่วนที่ก่อสร้างจากหินนั้นยังคงได้รับการปิดผนึกอย่างดีโดยคงสภาพเดิมเอาไว้ และไม่เคยผ่านการขุดและรื้อทำลายมาก่อน
รัฐบาลจีนที่รับผิดชอบในการขุดค้นสุสานประวัติศาสตร์นี้ เชื่อกันว่าหลุมกองทัพดินเผาของจักรพรรดิ
จิ๋นซี มีด้วยกันทั้งหมด 8 หลุม แต่ในปัจจุบันมีการขุดค้นเพียงแค่ 3 หลุมเท่านั้น เพราะเกรงว่าสีของหุ่นทหารดินเผาที่ขุดพบนั้นจะหายไป ในอดีตเริ่มแรกของการขุดพบกองทัพทหารดินเผาจากสุสานใต้ดินนั้น หุ่นทหารเหล่านี้มีแก้มเป็นสีชมพู สวมเครื่องแต่งกายที่มีสีสันสดใสที่ทาสีเอาไว้อย่างสวยงาม โดยส่วนใหญ่จะสวมเสื้อสีชมพู กางเกงสีเขียวและฟ้า แต่ทว่าเมื่อหุ่นทหารดินเผาถูกอากาศและแสงแดด เกิดปฏิกิริยาทางเคมีทำให้สีของหุ่นทหารดินเผาลอกหายไป เปลี่ยนเป็นสีดำอย่างน่าเสียดาย
พระถังเสวียนจาง (XUAN ZANG)
พระถังเสวียนจาง หรือ พระถังซำจั๋ง ที่เรารู้จักกันดี ถังซำจั๋ง เป็นชื่อยกย่องของท่าน ซำ หรือ ซาน แปล
ว่า ไตร หรือ 3 ส่วน จั๋ง แปลว่า ปิฎก รวมแล้วหมายความว่า ยกย่องท่านเป็นพระไตรปิฎกแห่งราชวงค์ถัง ท่านมีสมณฉายาว่า เสวียนจาง แปลว่า ลึกซึ้งยิ่งใหญ่ เกิดในปี 602 ในปลายสมัยราชวงค์สุย เป็นบุตรคนที่ 4 ของครอบครัว บรรพชาขณะมีอายุ 13 ปี เริ่มออกจาริกไปประเทศอินเดียเพื่ออัญเชิญพระไตรปิฎก เมื่ออายุได้ 26 ปี (ปี 629) กลับมานครฉางอันในปี 645 เดินทางไปกลับรวมระยะทาง 50,000 ลี้ ใช้เวลา 16 ปี โดยอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ 150 องค์ พระไตรปิฎกจำนวน 657 เล่ม พระถังซำจั๋งได้แปลพระไตรปิฎกอยู่บนเจดีย์ต้าเอี้ยน หรือเจดีย์ห่านป่าใหญ่ ที่วัดต้าสือเอินซื่อ จนมรณภาพในปี 664 สิริรวมอายุได้ 65 พรรษา
ABOUT THE AUTHOR
ข
ขุนเดช
ภาพโดย : ขุนเดช/โตโยตานิตยสาร 417 ฉบับเดือน ธันวาคม ปี 2550
คอลัมน์ Online : ชีวิตอิสระ(4wheels)