โค้งอันตราย
ชื่นมื่น
กระดี๊กระด๊าไปตามๆ กัน เมื่อยอดขายรถเดือนเมษายนที่ผ่านมา แซงหน้าปีก่อนไปอย่างพุ่งปรี๊ด ส่งผลให้ยอดรวม 4 เดือน ขายกันได้มากกว่าปีก่อนถึง 14.5 % เข้าไปโน่น
ก็ต้องยอมรับว่า เมื่อการเมืองนิ่ง ภาคเศรษฐกิจจะสามารถดำเนินกันได้เรื่อยๆ อาจมีกระโดกกระเดกกันบ้างตามประสา ก็ยังก้าวหน้ากันไปได้ ยิ่งมีข่าวว่า ภาครัฐกำลังให้ความสนใจกับการลงทุนต้นน้ำของอุตสาหกรรมยานยนต์แล้ว ก็ยิ่งทำให้ผู้ประกอบการชื่นมื่นยิ่งขึ้น
นั่นเป็นเรื่องของภาพรวม แต่ในทางปฏิบัติแล้ว ยังไม่เห็นแนวทางการชี้นำจากภาครัฐ ว่าจะให้ใช้พลังงานทดแทนแบบไหนกันแน่ ตอนนี้น้ำมันก็ราคาแพงกระฉูด ไม่ว่าจะเบนซิน หรือดีเซลก็เถอะ ประชาชนคนเดินดินเติมน้ำมันรถกันที แทบว่าอยากจะนอนอยู่กับบ้าน ไม่ต้องเดินทางไปไหน ถ้าไม่มีความจำเป็นยิ่งยวด
แต่ก็ยังค่อยยังชั่วเมื่อเห็นข่าวจากท่าน รัฐมนตรีว่าการ พลโทหญิงแห่งกระทรวงพลังงาน ว่าจะเร่งมือทำ โรดแมพ หรือแผนการส่งเสริมการใช้แกสธรรมชาติในยานยนต์ ทั้งระยะสั้น ระยะปานกลาง และระยะยาว ที่จะใช้ไปถึงปี 2555
แผนที่ว่านี้ จะกำหนดแผนเกี่ยวกับการจัดทำระบบสาธารณูปโภค สำหรับแกสธรรมชาติ ว่าควรจะมีอะไรบ้าง การกำหนดเส้นทางเดินของท่อส่งแกสให้ครอบคลุมทุกภาคของประเทศ กำหนดระยะห่างระหว่างระยะทางที่จะจัดตั้งสถานีบริการ ซีเอนจี สถานที่ในการก่อสร้างสถานีแม่ และสถานีลูก ตามแนวท่อส่งแกสธรรมชาติ
การเพิ่มจำนวนอู่ที่ติดตั้งระบบแกสสำหรับรถยนต์ ซึ่งปัจจุบันมี 30 อู่ ก็จะมีการเพิ่มปริมาณให้เพียงพอกับความต้องการใช้ ทั้งในกรุงเทพมหานคร และในภูมิภาค
นอกจากนี้จะมีการเพิ่มหน่วยตรวจสอบการติดตั้ง แผนการลดต้นทุนการติดตั้ง และการผลิตรถยนต์ที่ใช้แกสให้ถูกลง โดยจะมีการศึกษาตั้งแต่ต้นทุนการผลิตถัง อุปกรณ์ดัดแปลง ว่ามีราคาเป็นอย่างไร สามารถที่จะลดต้นทุนการผลิตลงได้หรือไม่ จะมีการกำหนดวงเงินลงทุน ทั้งในระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว ว่าจะต้องใช้เงินลงทุนเท่าไร สำหรับที่จะดำเนินการให้เพียงพอต่อการขยายตัวของการใช้ในประเทศ
ส่วนปัญหาที่พบในขณะนี้ สำหรับการส่งเสริมการใช้แกสธรรมชาติ ก็คือ การจัดทำระบบสาธารณูปโภคที่ยังไม่เพียงพอต่อการขยายตัวของการใช้ จำนวนสถานีบริการยังไม่สามารถขยายตัวได้มาก เนื่องจากติดปัญหาที่ดินมีราคาแพง
การขอจัดตั้งสถานีบริการที่ปัจจุบันมีความเข้มงวดมาก มีการกำหนดระยะห่างจากถนน และที่อยู่อาศัยไกลมาก ทำให้ขออนุญาตในการก่อสร้างสถานีบริการได้ยาก ก็จะมีการประสานงานให้ใกล้ชิดกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมากขึ้น และจะมีการผ่อนปรนเงื่อนไขในการจัดตั้งสถานีบริการให้น้อยลง เพื่อความรวดเร็วในการขยายสถานีบริการ
ท่านรัฐมนตรีท่านเชื่อว่า ในเดือนกรกฎาคม ปัญหาในเรื่องแกสธรรมชาติจะคลี่คลายได้ มีสถานีบริการที่เพียงพอสำหรับรถยนต์ทุกคัน และมีการแยกรถบรรทุกขนาดใหญ่ไม่ให้มาเติมในสถานีบริการสำหรับรถยนต์ โดยมีการจัดตั้งจุดเติมสำหรับรถใหญ่ให้มากขึ้น สำหรับในเรื่องการลดภาษีอุปกรณ์สำหรับรถยนต์ที่ใช้แกส ก็ได้ประสานงานกับกระทรวงการคลังแล้ว โดยขณะนี้เรื่องอยู่ในการพิจารณาของสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง คาดว่าจะสามารถสรุปได้ในเร็วๆ นี้
ประเด็นที่คุยกันก็เรื่อง การขอขยายระยะเวลายกเลิกอากรขาเข้า สำหรับถังบรรจุอุปกรณ์ควบคุมการใช้ออกไป มีการขอปรับลดอากรขาเข้ารถโดยสารที่ใช้แกสธรรมชาติ จากต้องเสียภาษีในอัตราร้อยละ 30 ลงเหลือ ร้อยละ 0 มีการขอลดอากรขาเข้าชิ้นส่วนอุปกรณ์ ซีเคดี (CKD) จากร้อยละ 10 เหลือร้อยละ 0 ขอยกเว้นภาษีสำหรับอุปกรณ์ที่ใช้ในการติดตั้ง โดยรวมค่าติดตั้งทั้งหมดร้อยละ 25 ของค่าใช้จ่าย และขอขยายระยะเวลาการเสียภาษีสรรพสามิตรถยนต์แบบ เรทโรฟิส ซึ่งเดิมจะหมดเดือนพฤศจิกายน 2551 เป็นไปหมดในปี 2555 แทน
นั่นเป็นความเห็นของท่านรัฐมนตรีหญิงท่านใหม่ ที่พอน่าเชื่อถือได้ เพราะเป็นการขยายระยะเวลาต่างๆ ออกไปอีก เพื่อบรรเทา หรือแบ่งภาระของผู้ประกอบการ ที่เห็นราคาน้ำมันแล้ว ก็ต้องหาอะไรขึ้นมาก่ายหน้าผากไว้ก่อน
ไอ้จะเปลี่ยนเครื่องยนต์จากเครื่องเดิม หันมาใช้เครื่องใหม่ที่ใช้แกสธรรมชาติได้ ก็เปลืองค่าโสหุ้ยหนักเข้าไปอีก กว่าจะคุ้มค่าติดตั้งเมื่อเทียบกับค่าน้ำมันที่ลดลง มันยังอยู่อีกไกลเหลือเกิน แถมรถใหญ่ ถังใหญ่ ใช้เวลาในการเติมแกสแต่ละครั้ง ลืมกันไปได้เลย ไปกินก๋วยเตี๋ยวกลับมาก็ยังไม่เต็ม เติมกันทีเป็นชั่วโมงก็เหนื่อยแล้ว
ก็ยังดีที่ผู้หลักผู้ใหญ่ให้ความสำคัญกับเรื่องพลังงานทดแทน ถึงจะเพิ่งเริ่มทำงานแบบนี้มาแค่ 3-4 เดือนก็เถอะ แต่ก็อยากกราบเรียนท่านรัฐมนตรีเอาไว้ด้วยว่า คำว่า เอนจีวี น่ะ มันแปลได้ว่ารถที่ใช้แกสธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิง ส่วนเจ้าตัวแกสน่ะ เขาเรียก แอลพีจี กับ ซีเอนจี
บรรดาคนใกล้ชิดกรุณาเขียนข่าวให้ถูกต้องด้วย จักเป็นพระคุณยิ่งแก่ลูกหลาน ที่ไม่ต้องรับทราบข้อมูลกันผิดๆ
หนนี้มีเรื่องมาฝากอีกเรื่อง เป็นสถิติผู้สูงอายุไทย ที่ทำไมกลายเป็นกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศ และการสื่อสาร เป็นคนทำก็ไม่ทราบ มันแปลกดีนะ
โครงสร้างประชากรไทย จากอัตราเกิดของประเทศไทยที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง จาก 42.2 คนในปี 2507 เป็น 10.9 คน/ประชากร 1,000 คน ในปี 2548 ทำให้ประชากรวัยเด็กอายุ 0-14 ปี มีจำนวนลดลง ขณะที่ประชากรวัยสูงอายุ 60 ปีขึ้นไป เพิ่มมากขึ้น
โครงสร้างของประชากร จึงมีการเปลี่ยนแปลงเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ในปี 2550 ประเทศไทยมีประชากรสูงอายุประมาณ 7.1 ล้านคน แบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม คือ กลุ่มอายุ 60-69 ปี ร้อยละ 58.8 กลุ่มอายุ 70-79 ปี ร้อยละ 31.7 และกลุ่มอายุ 80 ปีขึ้นไป ร้อยละ 9.5
ตามนิยามสังคมผู้สูงอายุ หมายถึง การมีประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไปมากกว่าร้อยละ 10 ของประชากรทั้งประเทศ ประเทศไทยจึงอยู่ในเกณฑ์ที่ได้เข้าสู่สังคมผู้สูงอายุมาตั้งแต่ปี 2548 ขณะที่ประเทศญี่ปุ่นได้เข้ามาแล้วถึง 30 ปี ประเทศสิงคโปร์เข้าสู่สังคมผู้สูงอายุปี 2543 และในปี 2550 นี้ ประเทศญี่ปุ่นมีผู้สูงอายุร้อยละ 29 สิงคโปร์มีผู้สูงอายุร้อยละ 11.9 ขณะที่ประเทศไทยมีผู้สูงอายุร้อยละ 10.7 ของประชากรทั่วทั้งประเทศ
อันที่จริงตัวเลขพวกนี้น่าจะเผยแพร่โดยหน่วยงานของรัฐมานานแล้ว เพราะในภาคเศรษฐกิจ หรือบรรดานักเรียนเอมบีเอ ทั้งหลาย มีความจำเป็นต้องมองเห็นแนวทางของการพัฒนาผลิตภัณฑ์ทางการตลาด เมื่อมีผู้สูงอายุจำนวนมาก ก็ต้องหาผลิตภัณฑ์เพื่อผู้สูงอายุ หาลูกเล่นออกมาขายเอาสตางค์จากคนแก่ ว่ายังงั้นเถอะ
อย่างที่เห็นโฆษณาจากบริษัททางการเงิน ที่เอาคนสูงอายุมาเป็นพรีเซนเตอร์ นั่นก็คือ ลูกเล่นสำหรับหากินกับคนแก่
การเตรียมพร้อมรับมือการเข้าสู่สังคมสูงอายุ อย่างประเทศญี่ปุ่นเป็นสังคมผู้สูงอายุที่มีประชากรสูงอายุประมาณร้อยละ 30 มีการเตรียมความพร้อมมาตั้งแต่ปี 2502 ปัจจุบันมีกฎหมาย บำนาญแห่งชาติ มีระบบ ประกันการดูแลผู้สูงอายุระยะยาว นอกจากนี้ยังมีระบบ โครงข่ายคุ้มครองทางสังคม โดยส่วนใหญ่งบประมาณในระบบนี้เป็นค่าใช้จ่ายสำหรับผู้สูงอายุมากถึงร้อยละ 70.4 ฉะนั้นการเตรียมความพร้อมสำหรับประเทศไทย จึงมีความจำเป็นมากที่รัฐบาลควรให้ความสำคัญ
แต่บ้านเราโชคดี ที่สังคมต่างจังหวัดยังเป็นสังคมแบบชนบท แบบไทยโบราณกันอยู่ ถึงวันตรุษ สารท หรือสงกรานต์ที ก็ต้องกลับไปเยี่ยมปู่ย่าตายายต่างจังหวัดกัน
ยังไงก็ยังไม่เหมือนเมืองญี่ปุ่นเขา ที่เดี๋ยวนี้ต้องขอร้องบรรดาผู้สูงอายุ ไม่ให้ขับขี่ยานยนต์กันแล้ว หูตาฝ้าฟาง จนทางการต้องออกแคมเปญขอใบขับขี่คืนจากคนอายุเกิน 65 ปี
แหม มันดูถูกคนชรากันเกินไปหรือเปล่าเนี่ย
เรื่องโดย : มือบ๊วย
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน กรกฏาคม ปี 2551
คอลัมน์ Online : โค้งอันตราย
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/78595