ข่าวรอบโลก
บีเอม ฯ เอกซ์ 6 รุ่นยกหน้า + สมาร์ท ฟอร์ทู ปรับหน้าตา
บีเอม ฯ เอกซ์ 6 รุ่นยกหน้า
เปิดตัวแล้วในเมืองเบียร์
จะออกตลาดฤดูใบไม้ผลิ
เยอรมนี-เจ้าของเครื่องหมายการค้า "ใบพัดเครื่องบินสีฟ้าขาว" หวังกระตุ้นยอดขายของรถกิจกรรมกลางแจ้งสุดหรู เปิดเผยโฉมหน้า และรายละเอียดต่างๆ ของ บีเอมดับเบิลยู เอกซ์ 6 (BMW X6) รุ่นที่เพิ่งผ่านการปรับปรุงแบบ FACELIFT หรือ "ยกหน้า" พร้อมประกาศว่าฤดูใบไม้ผลิปีนี้ จะนำรถออกสู่โชว์รูมในเมืองเบียร์ โดยมีรถให้ลูกค้าเงินถังเลือกใช้รวม 5 โมเดล
หลังจากอยู่ในตลาดมายาวนานประมาณ 3 ปี และขายทั่วโลกไปแล้วมากกว่า 150,000 คัน เมื่อปลายเดือนมกราคมที่ผ่านมานี่เอง ยอดผู้ผลิตรถหรูของเมืองเบียร์ก็ประกาศข่าวคราวที่ผู้ใช้รถกิจกรรมกลางแจ้งระดับหรูทั่วโลก ต้องเบิ่งตามอง และเงี่ยหูฟัง เพราะเป็นรายละเอียดของรถ บีเอมดับเบิลยู เอกซ์ 6 (BMW X6) รุ่นที่ได้รับการปรับปรุงแบบ FACELIFT หรือ "ยกหน้า" และกำลังจะออกจำหน่ายในเมืองเบียร์
ที่น่าเสียดายสำหรับผู้ที่ชอบเห็นความเปลี่ยนแปลงก็คือ เมื่อพินิจพิจารณารูปโฉมและศึกษารายละเอียดต่างๆ แล้วก็จะพบว่า มีการเปลี่ยนแปลงน้อยมาก ทั้งในด้านตัวถัง และรูปทรงองค์เอว การเปลี่ยนแปลงในส่วนของตัวถังทั้งภายนอกและภายใน หากไม่นำรุ่นเก่าและรุ่นใหม่มาจอดเทียบกันก็ยากจะเห็นความแตกต่าง ในส่วนของเครื่องยนต์ทั้งเบนซินและดีเซล ซึ่งมีให้เลือกใช้รวม 5 ขนาด เกือบทั้งหมดยกมาจากรถรุ่นเดิม โดยแทบจะไม่มีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงใดๆ
จะออกโชว์รูมในเมืองเบียร์โดยมีรถให้เลือกใช้รวม 5 โมเดล คือ BMW X6 XDRIVE 35I เครื่องยนต์เทอร์โบฉีดเชื้อเพลิงโดยตรง DOHC 6 สูบเรียง 2,979 ซีซี 225 กิโลวัตต์/306 แรงม้า BMW X6 XDRIVE 50I เครื่องยนต์เทอร์โบฉีดเชื้อเพลิงโดยตรง DOHC วี 8 สูบ 4,395 ซีซี 300 กิโลวัตต์/407 แรงม้า BMW X6 XDRIVE 30D เครื่องยนต์เทอร์โบดีเซลฉีดเชื้อเพลิงโดยตรง DOHC 6 สูบเรียง 2,993 ซีซี 180 กิโลวัตต์/245 แรงม้า BMW X6 XDRIVE 40D เครื่องยนต์เทอร์โบดีเซลฉีดเชื้อเพลิงโดยตรง DOHC 6 สูบเรียง 2,993 ซีซี 225 กิโลวัตต์/306 แรงม้า และ BMW X6 M50D เครื่องยนต์เทอร์โบดีเซลฉีดเชื้อเพลิงโดยตรง DOHC 6 สูบเรียง 2,993 ซีซี 280 กิโลวัตต์/381 แรงม้า ทุกโมเดลถ่ายทอดกำลังจากเครื่องยนต์สู่ล้อคู่หน้าและคู่หลังผ่านระบบเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ
จะมีสีตัวถังให้เลือกใช้อย่างจุใจถึง 10 สี เป็นสีทึบ 2 สี คือ สีขาว ALPINWEISS กับสีดำ SCHWARZ และเป็นสีเมทัลลิค 8 สี คือ สีเงิน TITANSILBER METALLIC สีดำ SAPHIRSCHWARZ METALLIC สีเทา SPACEGRAU METALLIC สีน้ำเงิน TIEFSEEBLAU METALLIC สีแดง VERMILLIONROT METALLIC สีครีม ORIONSILBER METALLIC สีน้ำตาล MARRAKESCHBRAUN METALLIC สีฟ้า MIDNIGHT BLUE METALLIC สนนราคาค่าตัวรวมภาษีมูลค่าเพิ่มร้อยละ 19 อยู่ระหว่าง 61,600-85,800 ยูโร หรือประมาณ 1.09-1.51 ล้านบาท
สมาร์ท ฟอร์ทู ปรับหน้าตา
เครื่องยนต์กลไกชุดเดิม
เดือนเมษายนออกโชว์รูม
เยอรมนี-รถซูเพอร์จิ๋ว สมาร์ท ฟอร์ทู (SMART FORTWO) ได้ฤกษ์การเปลี่ยนแปลง โดยเน้นที่ตัวถังภายนอก มากกว่าภายในและเครื่องยนต์กลไก จะออกโชว์รูมในเมืองเบียร์ตอนต้นเดือนเมษายนปีมังกร โดยติดป้ายค่าตัวเริ่มต้นที่ระดับ 10,275 ยูโร หรือประมาณ 0.43 ล้านบาท
หลังจากเปลี่ยนแปลงเล็กๆ น้อยๆ ไปแล้วหลายครั้ง และทำยอดขายในตลาดทั่วโลกไปแล้วมากกว่า 1.8 ล้านคัน นับแต่ออกตลาดเมื่อปี 1998 ต้นปีเมษายนนี้ก็ถึงเวลาที่จะเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นอีกครั้งหนึ่งกับรถซูเพอร์จิ๋ว สมาร์ท ฟอร์ทู (SMART FORTWO) ตามข้อมูลที่เผยแพร่ผ่านสื่อต่างๆ เมื่อต้นเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับรถ สมาร์ท ฟอร์ทู ครั้งล่าสุดนี้ มุ่งเน้นที่การปรับปรุงรูปโฉมของตัวถังภายนอก เพื่อให้มีคุณลักษณ์อย่างที่เรียกกัน
ในภาษาอังกฤษว่า MORE DYNAMIC APPEARANCE หรือเรียกอย่างง่ายๆ ในภาษาไทยว่า "ดูกระฉับกระเฉงกว่ารถรุ่นเดิม" นั่นเอง
การปรับเปลี่ยนรายละเอียดในส่วนของตัวถังภายนอกดังที่กล่าวข้างต้น มีอยู่มากมายหลายจุด ตัวอย่าง คือ แผงกระจังหน้าเคลือบสีดำที่ออกแบบขึ้นใหม่โดยผนวกรวมโลโกรูปลูกศรชุบคโรเมียมไว้ด้วย แทนที่จะติดโลโกไว้กับหน้าหม้อเหนือแผงกระจังหน้าเหมือนรถรุ่นเดิม ช่องดักลมใต้แผงป้ายทะเบียนออกแบบเป็นชิ้นเดียว แทนที่จะแยกเป็นส่วนๆเหมือนรถรุ่นก่อน ชุดโคมไฟ LED สำหรับการวิ่งในเวลากลางวัน เปลี่ยนลักษณะการติดตั้งจากแนวตั้งเป็นแนวนอน ฯลฯ ภายในห้องโดยสารมีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อย และเกือบทั้งหมดเป็นการเปลี่ยนแปลงในส่วนของสีและวัสดุหุ้มเบาะ โดยใช้วัสดุคุณภาพสูงขึ้นและตกแต่งให้ดูดีกว่าเดิม
เช่นเดียวกับรถรุ่นเดิม รถรุ่นใหม่ซึ่งคันแรกจะส่งถึงมือตัวแทนจำหน่ายในเมืองเบียร์ตอนต้นเดือนเมษายนปีมังกร มีตัวถังให้เลือกใช้ 2 แบบ คือ ตัวถังคูเป2 ที่นั่ง ซึ่งติดป้ายชื่อ SMART FORTWO COUPE กับตัวถังเปิดประทุน 2 ที่นั่ง ซึ่งติดป้ายชื่อ SMART FORTWO CABIO ตัวถังทั้ง 2 แบบแบ่งการตกแต่งและอุปกรณ์เป็น 5 ระดับ กำกับด้วยรหัส PURE PULSE PASSION BRABUS และ BRABUS XCLUSIVE โดยมีเครื่องยนต์ให้เลือกใช้อย่างหลากหลายถึง 5 ขนาด คือ เครื่อง DOHC 3 สูบเรียง 999 ซีซี 45 กิโลวัตต์/61 แรงม้า เครื่อง DOHC 3 สูบเรียง 999 ซีซี 52 กิโลวัตต์/71 แรงม้า เครื่อง DOHC 3 สูบเรียง 999 ซีซี 62 กิโลวัตต์/84 แรงม้า เครื่อง DOHC 3 สูบเรียง 999 ซีซี 75 กิโลวัตต์/102 แรงม้า และเครื่องเทอร์โบดีเซลฉีดเชื้อเพลิงโดยตรง SOHC 3 สูบเรียง 799 ซีซี 40 กิโลวัตต์/54 แรงม้า
สมรรถนะความเร็วตามตัวเลขของผู้ผลิต รุ่นพื้นฐานซึ่งติดตั้งเครื่องเบนซิน 45 กิโลวัตต์/61 แรงม้า และติดป้ายค่าตัว 10,275 ยูโร อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ทำได้ใน 16.8 วินาที ความเร็วสูงสุด 145 กม./ชม. มีอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย 4.2 ลิตร/100 กม.หรือ 23.8 กม./ลิตร และมีอัตราคาร์บอนไดออกไซด์ 97 กรัม/กม. ส่วนรุ่นหัวกะทิซึ่งติดตั้งเครื่องเบนซิน 75 กิโลวัตต์/102 แรงม้า และติดป้ายค่าตัว 17,220 ยูโร ตัวเลขจะเปลี่ยนเป็น 8.9 วินาที 155 กม./ชม. 5.2 ลิตร/100 กม. และ 119 กรัม/กม. ตามลำดับ
ย่อยข่าว
* ญี่ปุ่น-ภัยธรรมชาติทั้งในบ้านตัวเองและในฐานผลิตชิ้นส่วน คือ ประเทศไทย ส่งผลกระทบเป็นอย่างมากต่อยอดผลิตรถยนต์ในเมืองยุ่น ตามตัวเลขของ JAMA (JAPAN AUTOMOBILE MANUFACTURERS ASSOCIATION) หรือ สมาคมผู้ผลิตรถยนต์แห่งประเทศญี่ปุ่น ในรอบปีกระต่ายที่ไม่หมายชมจันทร์เพราะมัวแต่หนีคลื่นหนีน้ำ อุตสาหกรรมรถยนต์ในเมืองยุ่นสามารถผลิตรถยนต์นานาชนิดออกสู่ตลาดได้เพียง 8,398,654 คัน หรือลดลงถึงร้อยละ 12.8 จากตัวเลขในรอบปี 2010 โดยแยกออกได้เป็น รถยนต์นั่ง 7,158,525 คัน (ลดลงร้อยละ 13.8) รถบรรทุก 1,136,020 คัน (ลดลงร้อยละ 6.1) รถโดยสาร 104,109 คัน (ลดลงร้อยละ 4.8) และสามารถแยกจำนวนตามบริษัทผู้ผลิตได้ดังนี้
1. โตโยตา 2,760,028 คัน (-15.9 %)
2. นิสสัน 1,112,995 คัน (-1.8 %)
3. ซูซูกิ 949,799 คัน (-11.9 %)
4. มาซดา 813,302 คัน (-10.9 %)
5. ฮอนดา 710,621 คัน (-28.4 %)
6. ไดฮัทสุ 609,657 คัน (-8.4 %)
7. มิตซูบิชิ 603,594 คัน (-8.6 %)
8. ซูบารุ 418,545 คัน (-14.9 %)
9. อีซูซุ 201,701 คัน (-1.0 %)
10. ฮีโน 113,788 คัน (+14.6 %)
11. มิตซูบิชิ ฟูโซ 79,154 คัน (+3.3 %)
12. ยูดี ทรัคส์ 23,336 คัน (-23.4 %)
13. อื่นๆ 2,134 คัน (+41.0 %)
เฉพาะรถยนต์นั่งซึ่งมียอดผลิต 7,158,525 คัน หรือเท่ากับร้อยละ 85.2 ของยอดผลิตโดยรวม สามารถแยกจำนวนตามบริษัทผู้ผลิตได้ดังนี้
1. โตโยตา 2,473,546 คัน (-17.4 %)
2. นิสสัน 1,004,666 คัน (-0.4 %)
3. ซูซูกิ 811,689 คัน (-11.3 %)
4. มาซดา 798,060 คัน (-1.7 %)
5. ฮอนดา 687,948 คัน (-26.9 %)
6. มิตซูบิชิ 536,142 คัน (-8.5 %)
7. ไดฮัทสุ 479,956 คัน (-10.2 %)
8. ซูบารุ 366,518 คัน (-16.2 %)
* ญี่ปุ่น-ยักษ์รองของเมืองยุ่น นิสสัน มอเตอร์ (NISSAN MOTOR) ประกาศผลประกอบการในรอบปีกระต่ายโดยระบุว่า สามารถผลิตรถทุกชนิดได้รวมทั้งสิ้น 4,632,375 คัน หรือเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 14.3 จากยอดผลิต 4,053,701 คัน ในรอบปี 2010 โดยแยกออกได้เป็นยอดผลิตในญี่ปุ่น 1,112,995 คัน (ลดลงร้อยละ 1.8) และยอดผลิตนอกญี่ปุ่น 3,519,380 คัน (เพิ่มขึ้นร้อยละ 20.5) ในส่วนของยอดขายก็ปรากฏผลว่า สินค้ารถยนต์ของ นิสสัน สามารถทำยอดขายในตลาดทั่วโลกได้รวมทั้งสิ้น 4,669,981 คัน คือ เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 14.4 จากยอดขาย 4,080,609 คัน ในรอบปี 2010 โดยแยกออกได้เป็นยอดขายในญี่ปุ่น 591,312 คัน (ลดลงร้อยละ 8.4) และยอดขายนอกญี่ปุ่น 4,078,669 คัน (เพิ่มขึ้นร้อยละ 18.7) ตลาดนอกญี่ปุ่นที่ใหญ่ที่สุด คือ ทวีปอเมริกาเหนือซึ่งมียอดขายสูงถึง 1,353,090 คัน รองลงไป คือ สาธารณรัฐประชาชนจีน 1,247,738 คัน และทวีปยุโรป 695,703 คัน
* ญี่ปุ่น-ยักษ์รอง ฮอนดา มอเตอร์ (HONDA MOTOR) ซึ่งได้รับผลกระทบเป็นอย่างมากจากน้องน้ำที่ "เอาไม่อยู่" ก็ประกาศผลประกอบการในรอบปีกระต่ายแล้วเช่นกัน ตัวเลขที่น่าตกใจ คือ ยอดผลิตรถยนต์ทั่วโลกที่ลดเหลือแค่ 2,909,000 คัน หรือลดลงถึงร้อยละ 20 จากยอดผลิต 3,643,000 คัน ในรอบปี 2010 โดยแยกออกได้เป็นยอดผลิตในญี่ปุ่น 710,000 คัน (ลดลงร้อยละ 28) และยอดผลิตนอกญี่ปุ่น 2,198,000 คัน (ลดลงร้อยละ17) ที่น่าตกใจเช่นกัน คือ
ยอดขายที่หดเหลือแค่ 3,095,000 คัน หรือลดลงถึงร้อยละ 13 จากยอดขาย 3,555,000 คัน ในรอบปี 2010 โดยแยกออกได้เป็นยอดขายในญี่ปุ่น 503,000 คัน (ลดลงร้อยละ 22) และยอดขายในต่างประเทศ 2,592,000 คัน (ลดลงร้อยละ 11) ตลาดนอกญี่ปุ่นที่ใหญ่ที่สุด คือ ทวีปอเมริกาเหนือ ซึ่งมียอดขายสูงถึง 1,311,000 คัน รองลงไป คือ สาธารณรัฐประชาชนจีน 624,000 คัน และภูมิภาคเอเซีย/โอเชียเนีย 301,000 คัน
* ญี่ปุ่น-ผู้ผลิตรถยนต์ญี่ปุ่นอีกรายหนึ่งที่เพิ่งประกาศผลประกอบในรอบปี 2011 คือ ยักษ์เล็ก มาซดา มอเตอร์ คอร์พอเรชัน (MAZDA MOTOR CORPORATION) ในรอบปีดังกล่าวผู้ผลิตรถยนต์รายนี้สามารถผลิตรถนานาชนิดได้รวมทั้งสิ้น 1,165,591 คัน หรือลดลงถึงร้อยละ 10.9 จากยอดผลิตในรอบปี 2010 โดยแยกออกได้เป็นยอดผลิตในญี่ปุ่น 813,302 คัน (ลดลงร้อยละ 10.9) และยอดผลิตนอกญี่ปุ่น 352,289 คัน (ลดลงร้อยละ 10.7) และแยกออกได้เป็นรถยนต์นั่ง 1,103,632 คัน (ลดลงร้อยละ 10.6) และรถเพื่อการพาณิชย์ 61,959 คัน (ลดลงร้อยละ 15.9) ในส่วนของยอดขายก็ปรากฏว่า ในรอบปีกระต่ายผู้ผลิตรถยนต์ยักษ์เล็กรายนี้สามารถขายรถในตลาดญี่ปุ่นได้เพียง 189,990 คัน หรือลดลงอย่างน่าใจหายถึงร้อยละ 15.1 จากตัวเลขที่เคยทำได้ในรอบปี 2010
ย่อยข่าว
* ญี่ปุ่น-ฮอนดา มอเตอร์ ผู้ผลิตรถไฮบริดรายแรกของเมืองยุ่น ตีข่าวผ่านสื่อต่างๆ รวมทั้งสื่อเวบไซท์ว่า นับแต่การออกตลาดของไฮบริด ฮอนดา อินไซจ์ท์ (HONDA INSIGHT) รุ่นแรกเมื่อเดือนพฤศจิกายน 1999 ยอดขายของรถไฮบริดติดตรา ฮอนดา ผ่านหลัก 800,000 คันแรกไปแล้วเมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมา ปัจจุบันยักษ์รองของเมืองยุ่นมีรถไฮบริดรวม 7 แบบ ขายอยู่ในประมาณ 50 ประเทศทั่วโลก ได้แก่ ฮอนดา อินไซจ์ท์ (HONDA INSIGHT) ฮอนดา ซีวิค ไฮบริด (HONDA CIVIC HYBRID) ฮอนดา ซีอาร์-เซด (HONDA CR-Z) ฮอนดา ฟิท ไฮบริด (HONDA FIT HYBRID) ฮอนดา ฟิท ชัทเทิล ไฮบริด (HONDA FIT SHUTTLE HYBRID) ฮอนดา ฟรีด ไฮบริด (HONDA FREED HYBRID) และ ฮอนดา ฟรีด สไปค์ ไฮบริด (HONDA FREED SPIKE HYBRID) โดยที่ 3 แบบหลังสุด เป็นรถที่มีจำหน่ายเฉพาะในญี่ปุ่น
* เกาหลีใต้-ฮันเด มอเตอร์ คัมพานี (HYUNDAI MOTOR COMPANY) ผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ที่สุดของเมืองโสมเปิดเผยผลประกอบการในรอบปี 2011 โดยระบุว่าสามารถขายรถนานาชนิดในตลาดทั่วโลกได้รวม 4,059,438 คัน หรือเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 12.4 จากตัวเลขที่เคยทำได้ในรอบปีก่อนหน้านั้น โดยแยกออกได้เป็นรถผลิตในเมืองโสม 1,884,633 คัน และรถผลิตในต่างประเทศ 2,174,805 คัน
* เกาหลีใต้-เกีย มอเตอร์ส (KIA MOTORS) ผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่อันดับ 2 ของเมืองโสมก็ประกาศผลประกอบการในรอบปี 2011 แล้วเช่นกัน ปรากฏว่าในรอบปีดังกล่าวค่ายนี้สามารถขายรถในตลาดทั่วโลกได้รวมทั้งสิ้น 2,478,959 คัน หรือเพิ่มขึ้นอย่างน่าอิจฉาถึงร้อยละ 18.6 จากยอดขาย 2,089,355 คัน ในรอบปี 2010 โดยแยกออกได้เป็นยอดขายในบ้าน 493,003 คัน และยอดขายนอกบ้าน 1,604,843 คัน ตลาดนอกบ้านที่ใหญ่ที่สุดคือทวีปอเมริกาเหนือซึ่งมียอดขายสูงถึง 550,615 คัน รองลงไป คือ ยุโรป 478,192 คัน และสาธารณรัฐประชาชนจีน 461,618 คัน เฉพาะรถที่ขายนอกเมืองโสม เมื่อแยกยอดขายตามรุ่น ก็ปรากฏว่า รถขายดีที่สุด 5 อันดับแรกประกอบด้วย เกีย เซราโต/ฟอร์เต (KIA CERATO/FORTE) 410,709 คัน เกีย สปอร์เทจ (KIA SPORTAGE) 331,033 คัน เกีย รีโอ (KIA RIO) 282,776 คัน เกีย โซเรนโต (KIA SORENTO) 220,783 คัน เกีย โซล (KIA SOUL) 180,109 คัน
* อิตาลี-ปีกระต่ายที่เพิ่งผ่านพ้นไป กลายเป็นปีแรกในประวัติศาสตร์ที่บริษัทผู้ผลิตรถสปอร์ทติดตรา "ม้าลำพอง" สามารถทำยอดขายได้สูงกว่า 2,000 ล้านยูโร คือ 2,251 ล้านยูโร หรือเท่ากับประมาณ 94,500 ล้านบาทไทย ในรอบปีดังกล่าว รถสปอร์ท "ม้าลำพอง" ทำยอดขายในตลาดทั่วโลกได้สูงสุดเป็นประวัติการณ์ถึง 7,195 คัน หรือเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 9.5 จากตัวเลขที่ทำได้ในรอบปี 2010 ตลาดใหญ่ที่สุด คือ สหรัฐอเมริกา ซึ่งมียอดขายสูงถึง 1,958 คัน
บรรยายภาพ
ทั้ง 3 ภาพข้างบนนี้ คือ เอาดี เอ 1 กวัตตโร (AUDI A1 QUATTRO) รถโมเดลพิเศษที่ค่าย "สี่ห่วง" จะทำขึ้นในจำนวนจำกัดเพียง 333 คัน เพื่อเสนอขายแก่คนรักรถผู้พิสมัยรถระดับหัวกะทิอย่างที่เรียกกันในภาษาอังกฤษว่า TOP-OF-THE-LINE MODEL จะออกขายในช่วงครึ่งหลังของปีมังกร ในตัวถัง 3 ประตูแฮทช์แบค ขนาด 3.987x1.740x1.416 ม. ซึ่งมีสีตัวถังให้เลือกใช้เพียงสีเดียว คือ ตัวถังเคลือบสีขาว GLACIER WHITE METALLIC แต่มีหลังคาสีดำ เป็นรถขับทุกล้อด้วยพลังของเครื่องยนต์เทอร์โบเบนซินฉีดเชื้อเพลิงโดยตรง DOHC 4 สูบเรียง 1,984 ซีซี 188 กิโลวัตต์/256 แรงม้า ถ่ายทอดกำลังผ่านระบบเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ นับเป็นรถเล็กที่แรงและเร็วสะอกสะใจ อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ทำได้ในเวลาแค่ 5.7 วินาที ความเร็วสูงสุด 245 กม./ชม. แต่มีอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ยที่เยี่ยมมาก คือ 8.6 ลิตร/100 กม.หรือ 11.6 กม./ลิตร ส่วนอัตราการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ไม่น่าจะถูกใจคนรักสีเขียวสักเท่าไร เพราะมีค่าเฉลี่ยที่สูงถึง 199 กรัม/กม. นั่นเทียว
นี่ก็เป็นรถสมรรถนะสูงโมเดลพิเศษที่ค่าย "สี่ห่วง" กำลังจะนำออกสู่โชว์รูมในเมืองเบียร์เช่นเดียวกัน เป็นรถติดป้ายชื่อ เอาดี ทีที อาร์เอส พลัส (AUDI TT RS PLUS) ซึ่งจะมีตัวถังให้เลือกใช้ 2 แบบ คือ ตัวถังคูเป 2+2 ที่นั่ง กับตัวถังโรดสเตอร์ 2 ที่นั่ง ทั้งสองตัวถังติดตั้งเครื่องยนต์เทอร์โบเบนซินฉีดเชื้อเพลิงโดยตรง DOHC 5 สูบเรียง 2,480 ซีซี 265 กิโลวัตต์/360 แรงม้า ถ่ายทอดกำลังสู่ล้อคู่หน้าและคู่หลังผ่านระบบเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ หรือเกียร์อัตโนมัติคลัทช์คู่ 7 จังหวะ ตัวถังคูเปทำอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ใน 4.3 วินาทีเมื่อติดตั้งเกียร์ธรรมดา และลดเหลือเพียง 4.1 วินาทีเมื่อใช้เกียร์อัตโนมัติ ส่วนตัวถังโรดสเตอร์ตัวเลขเปลี่ยนเป็น 4.4 และ 4.2 วินาที ตามลำดับ ด้านความเร็วสูงสุด ในทุกกรณีจำกัดไว้ที่ 280 กม./ชม. สนนราคาค่าตัวรวมภาษีมูลค่าเพิ่มร้อยละ 19 ตัวถังคูเปอยู่ระหว่าง 60,650-62,800 ยูโร หรือเท่ากับประมาณ 2.55-2.64 ล้านบาทไทย ส่วนตัวถังโรดสเตอร์แพงกว่ากันนิดหน่อย คือ อยู่ระหว่าง 63,500-65,650 ยูโร หรือเท่ากับประมาณ 2.67-2.76 ล้านบาทไทย
มีนี เป็นผู้ผลิตรถยนต์ระดับ "พรีเมียม" ที่ชอบทำรถโมเดลพิเศษให้คนรักรถที่ชอบความพิเศษเลือกใช้อยู่บ่อยๆ ประจักษ์พยานยืนยันล่าสุด คือ มีนี เบย์ส์วอเตอร์ (MINI BAYSWATER) ที่เห็นใน 3 ภาพนี้ เป็นรถโมเดลพิเศษที่ค่ายนี้ทำขึ้น ในโอกาสที่กรุงลอนดอนกำลังจะเป็นเจ้าภาพของการแข่งขันกีฬาโอลิมปิค มีรายละเอียดมากมายทั้งภายนอกและภายในตัวถังที่ผิดแผกแตกต่างจากรถรุ่นสามัญซึ่งเห็นกันอยู่ทั่วไป รวมทั้งกระทะล้ออัลลอยขนาด 17 นิ้วเคลือบสีดำที่ออกแบบขึ้นโดยเฉพาะ จะมีรถให้เลือกใช้รวม 4 โมเดลย่อย คือ MINI COOPER BAYSWATER 90 กิโลวัตต์/122 แรงม้า MINI COOPER S BAYSWATER 135 กิโลวัตต์/184 แรงม้า MINI COOPER D BAYSWATER 82 กิโลวัตต์/112 แรงม้า MINI COOPER SD BAYSWATER 105 กิโลวัตต์/143 แรงม้า และจะมีสีตัวถังให้เลือกใช้เพียง 3 สี คือ สีเทา ECLIPSE GREY METALLIC สีดำ MIDNIGHT BLACK METALLIC และสีฟ้า KITE BLUE METALLIC อย่างคันที่เห็นในภาพ ค่าตัวในเยอรมนี อยู่ระหว่าง 24,400-28,400 ยูโร หรือประมาณ 1.02-1.19 ล้านบาทไทย
นี่ก็เป็นรถโมเดลพิเศษที่ค่ายมีนีจะทำขึ้นในช่วงเวลาจำกัดเพื่อเฉลิมฉลองวาระที่มหานครลอนดอนจะเป็นเจ้าภาพจัดกีฬาโอลิมปิคในปีนี้เช่นเดียวกัน มีชื่อว่า มีนี เบเคอร์ สตรีท (MINI BAKER STREET) อันเป็นชื่อที่ตั้งขึ้นตามชื่อของถนนสายดังในมหานครแห่งนี้ มีรายละเอียดมากมายที่แตกต่างจากรถรุ่นสามัญ รวมทั้งการพาดตัวถังด้วยแถบสีดำในลักษณะตัว V และกระทะล้อดาว 6 แฉกขนาด 16 นิ้ว ที่ออกแบบขึ้นโดยเฉพาะสำหรับรถโมเดลพิเศษนี้ จะมีรถให้เลือกใช้รวม 4 โมเดลย่อย คือ MINI ONE BAKER STREET 72 กิโลวัตต์/98 แรงม้า MINI COOPER BAKER STREET 90 กิโลวัตต์/122 แรงม้า MINI ONE D BAKER STREET 66 กิโลวัตต์/90 แรงม้า MINI COOPER D BAKER STREET 82 กิโลัตต์/112 แรงม้า และจะมีสีตัวถังเพียง 3 สี คือ สีขาว PEPPER WHITE METALLIC สีดำ MIDNIGHT BLACK METALLIC และสีเทา ROOFTOP GREY METALLIC อย่างที่เห็นในภาพ สนนราคาค่าตัวของรถที่ขายในเยอรมนี อยู่ระหว่าง 20,800-24,800 ยูโร หรือเท่ากับประมาณ 0.87-1.04 ล้านบาทไทย
รถ มีนี โมเดลพิเศษรุ่นสุดท้ายที่นำมาให้ชื่นชมกันในเดือนนี้ คือ รถติดป้ายชื่อ MINI CONVERTIBLE HIGHGATE ที่เห็นใน 3 ภาพข้างบน เป็นรถที่ยอดผู้ผลิตรถจิ๋วของเมืองผู้ดีบอกว่า ผสมผสานสไตล์อังกฤษเข้าอย่างเหมาะเจาะกับความรู้สึกของการนั่งในรถเปิดประทุน จะเริ่มออกโชว์รูมในฤดูใบไม้ผลิปีมังกร โดยมีรถให้เลือกใช้รวม 4 โมเดลย่อย คือ MINI COOPER CONVERTIBLE HIGHGATE 90 กิโลวัตต์/122 แรงม้า MINI COOPER S CONVERTIBLE HIGHGATE 135 กิโลวัตต์/184 แรงม้า MINI COOPER D CONVERTIBLE HIGHGATE 82 กิโลวัตต์/112 แรงม้า MINI COOPER SD CONVERTIBLE HIGHGATE 105 กิโลวัตต์/143 แรงม้า และจะมีสีตัวถังให้เลือกใช้เพียง 3 สี คือ สีดำ MIDNIGHT BLACK METALLIC อย่างคันที่เห็นในภาพ สีเงิน WHITE SILVER METALLIC และสีน้ำตาล ICED CHOCCOLATE METALLIC ส่วนประทุนหลังคาซึ่งทำจากผ้าแฟบริคจะมีสีเดียว คือสีน้ำตาล SILVERTOUCHED BROWN ค่าตัวในเยอรมนี อยู่ระหว่าง 28,800-32,900 ยูโร หรือเท่ากับประมาณ 1.21-1.38 ล้านบาทไทย
หน้าตาเหมือนรถที่พร้อมแล้วจะออกจำหน่าย แต่ที่จริงยังมีฐานะเป็นรถแนวคิดติดป้ายชื่อ นิสสัน อินวิเทชัน (NISSAN INVITATION) เพิ่งอวดตัวผ่านสื่อต่างๆ รวมทั้งสื่ออีเลคทรอนิคอย่างเวบไซท์เมื่อต้นเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา รวมทั้งบอกด้วยว่า ถ้าอยากสัมผัสตัวจริงเสียงจริง ก็ต้องไปที่งานมหกรรมยานยนต์เจนีวาในเมืองสวิทเวอร์แลนด์ ซึ่งกำหนดมีขึ้นตอนต้นเดือนมีนาคม เป็นรถแนวคิดซึ่งบ่งบอกรูปลักษณ์และแนวทางของรถแฮทช์แบคขนาดเล็กกะทัดรัด ที่ในปี 2013 ยักษ์รองของเมืองยุ่นจะนำออกสู่ตลาดในทวีปยุโรป เป็นรถขนาดเล็กที่ให้ความสำคัญเป็นพิเศษแก่คุณสมบัติด้านความปลอดภัย และผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม โดยตั้งเป้าหมายไว้ว่าจะต้องมีอัตราการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์น้อยกว่า 100 กรัม/กม. มีเทคโนโลยีใหม่ๆ หลายรายการที่ไม่เคยพบเคยเห็นกันมาก่อนในรถระดับนี้ ตัวอย่าง คือ เทคโนโลยีความปลอดภัยที่ตั้งชื่อเป็นภาษาอังกฤษว่า AROUND VIEW MONITOR หรือ AVM ซึ่งช่วยให้การกลับรถและการนำรถเข้าจอดแบบขนาน(PARALLEL PARKING) สามารถกระทำได้โดยผู้ขับไม่เกิดความรู้สึกว่ากำลังถูกกดดัน
ภาพบนสุดคือรถไฮบริด ฮอนดา อินไซจ์ท์ รุ่นแรก ซึ่งเริ่มจำหน่ายเมื่อเดือนพฤศจิกายน 1999 ส่วนสามภาพถัดลงมา คือ รถไฮบริด ฮอนดา อินไซจ์ท์ รุ่นปัจจุบัน รถไฮบริด ฮอนดา ฟิท และรถไฮบริด ฮอนดา ซีอาร์-เซด
ABOUT THE AUTHOR
ช
ชูศักดิ์ ชมจินดา
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน เมษายน ปี 2555
คอลัมน์ Online : ข่าวรอบโลก