ทดลองขับ
SUZUKI ERTIGA HYBRID
ABOUT THE AUTHOR
ภูเขม หน่อสวรรค์
ภาพโดย : บริษัทผู้ผลิตนิตยสาร 417 ฉบับเดือน มีนาคม ปี 2566
คอลัมน์ Online : ทดลองขับ(4wheels)
ตลาดรถยนต์กลุ่ม มีนีเอมพีวี มีความหลากหลายในบ้านเรา ล่าสุดทาง SUZUKI อัพเดทรถยนต์คันเก่งของค่ายกับ SUZUKI ERTIGA HYBRID (ซูซูกิ แอร์ติกา ไฮบริด) เครื่องยนต์ไฮบริดขนาดเล็ก แต่มีผลดีหลายประการ เรามาทดลองขับในเส้นทางที่จังหวัดเชียงใหม่
SUZUKI ERTIGA HYBRID มีการปรับโฉมเล็กน้อย โดยมีจุดเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัด คือ กระจังหน้าที่ใช้ลวดลายแบบใหม่ และส่วนท้ายรถจะเพิ่มขอบโครเมียมพาดยาว บริเวณเหนือโลโกของค่ายรถ และตราสัญลักษณ์บ่งบอกว่า นี่คือ รุ่น HYBRID ซึ่งจะเป็นขุมพลังที่ใช้กับ ERTIGA ทุกรุ่นนับจากนี้ไป (ไม่มีทางเลือกเครื่องยนต์เบนซิน 1.5 ลิตร)
ภายในห้องโดยสารมีการใช้เบาะผ้าทั้ง 7 ตำแหน่ง แต่เปลี่ยนลวดลายแบบทูโทนใหม่ เพิ่มการตกแต่งด้วยวัสดุลายไม้โทนสีดำ แท่นชาร์จแบทเตอรีมือถือแบบไร้สาย (เดิมมีติดตั้งใน XL7 เท่านั้น) และที่ขาดไม่ได้ คือ จอแสดงผลแบบหลากหลายตรงกลางมาตรวัด ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบการส่งกำลังของระบบไฮบริด รวมถึงพละกำลัง และแรงบิดของเครื่องยนต์ ส่วนล้อแมกยังคงใช้ขนาด 15 นิ้วเหมือนเดิม ขณะที่ความอเนกประสงค์ยังคงจัดเต็ม และหลากหลาย เนื่องจากแบทเตอรีมีขนาดเล็ก ติดตั้งข้างใต้เบาะด้านข้างผู้ขับ ไม่กินเนื้อที่ของการโดยสาร และการขนสัมภาระแต่อย่างใด การพับเบาะสามารถทำได้เหมือนรุ่นปกติ
SUZUKI ERTIGA HYBRID มีระบบไฮบริดขนาดเล็กที่ประกอบไปด้วยเครื่องยนต์เบนซิน ขนาด 1.5 ลิตร กำลังสูงสุด 105 แรงม้า ที่ 6,000 รตน. แรงบิดสูงสุด 14.1 กก.-ม. ที่ 4,400 รตน. เกียร์อัตโนมัติ 4 จังหวะ (เหมือนกับรุ่นปกติทุกประการ) ขณะที่มอเตอร์ไฟฟ้า มีกำลังสูงสุดที่ 3.1 แรงม้า (2.3 กิโลวัตต์) แรงบิดสูงสุด 5.1 กก.-ม. กับแบทเตอรีแบบลิเธียม-ไอออน ขนาดกะทัดรัด (ความจุ 6 แอมพ์ชั่วโมง 12 โวลท์) ติดตั้งข้างใต้เบาะนั่งด้านข้างผู้ขับ
หน้าที่ของแบทเตอรีชุดนี้ คือ การส่งกำลังเสริมให้แก่เครื่องยนต์สันดาปในจังหวะที่เหมาะสม เช่น ขณะสตาร์ทเครื่องยนต์ภายใต้ระบบ AUTO START/STOP และขณะกดคันเร่งเพื่อเพิ่มความเร็ว นอกจากนี้ ยังสามารถนำพลังงานจากการชะลอความเร็วของตัวรถแปลงกลับมาใช้เป็นพลังงานไฟฟ้าป้อนเข้าสู่ชุดแบทเตอรีได้ เช่น ขณะผู้ขับเหยียบแป้นเบรค และขณะที่ผู้ขับถอนเท้าจากคันเร่ง ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่น่าสนใจของระบบไฮบริด นอกจากนี้ ขนาดที่กะทัดรัดของระบบไฮบริด ทำให้น้ำหนักโดยรวมของตัวรถไม่ต่างจากเดิมมากนัก ระบบรองรับไม่จำเป็นต้องมีการปรับแต่งใดๆ เพิ่มเติม การตอบสนองต่อการขับขี่ยังทำได้ดีไม่เปลี่ยนแปลง
ประโยชน์ของการทำงานจากระบบไฮบริด คือ การประหยัดเชื้อเพลิง โดยทาง SUZUKI เผยว่า รุ่น ERTIGA HYBRID มีการประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงโดยเฉลี่ย (ตามข้อมูลของอีโคสติคเกอร์) ที่ 17.9 กม./ลิตร ประหยัดกว่า ERTIGA รุ่นเดิม (มีตัวเลขที่ 15.9 กม./ลิตร) รุ่นปกติถึง 13 % จากการจำแนกสภาวะการขับขี่ ในตัวเมือง รุ่น HYBRID ทำได้ที่ 15.9 กม./ลิตร ส่วนรุ่นปกติ คือ 12.7 กม./ลิตร (รุ่น HYBRID ประหยัดกว่าถึง 25 %) ส่วนการขับขี่นอกเมือง หรือทางไกล รุ่น HYBRID คือ 19.2 กม./ลิตร และรุ่นปกติ คือ 18.5 กม./ลิตร (รุ่น HYBRID ประหยัดกว่าที่ 4 %)
ระบบรองรับของเอมพีวีรุ่นนี้ ไม่มีความแตกต่างจากรุ่นเดิมแต่อย่างใด เนื่องจากระบบไฮบริดมีขนาดเล็ก น้ำหนักไม่มาก จึงใช้ระบบรองรับที่ปรับแต่งมาเหมือนกัน ช่วงล่างโดยรวมยังคงเน้นความนุ่มนวล แต่อาการโคลงขณะเข้าโค้งมีเพียงเล็กน้อย พวงมาลัยมีน้ำหนักที่พอเหมาะ การปรับแต่งช่วงล่างยังคงเผื่อเหลือให้แก่การบรรทุกสัมภาระ และการโดยสารเป็นจำนวน 5-6 คน ส่วนระบบความปลอดภัยอาจไม่หวือหวาเหมือนคู่แข่งบางราย แต่ยังถือว่าครบถ้วนเพียงพอ
การมาถึงของระบบไฮบริดใน SUZUKI ERTIGA HYBRID ทำให้เอมพีวีรุ่นนี้มีความคุ้มค่ามากกว่าเดิม โดยเฉพาะในแง่ของการประหยัดเชื้อเพลิงขณะขับในตัวเมืองที่มีการจราจรหนาแน่น นอกจากนี้ ยังมีการเสริมกำลังจากมอเตอร์ไฟฟ้าขณะกดคันเร่ง ช่วยให้เร่งแซงได้ดีขึ้น ภายใต้พื้นที่ใช้สอยที่จัดเต็ม มีความอเนกประสงค์ที่หลากหลาย ออพชันของอุปกรณ์ใช้งานหลายรายการเทียบเท่ารุ่น XL7 (เอกซ์แอล 7) กับราคา 783,000 บาท ในรุ่น GL (จีแอล) และราคา 839,000 บาท ในรุ่น GX (จีเอกซ์) อาจสูงกว่ารุ่นเดิมพอสมควร แต่คุ้มค่าแน่นอนในระยะยาว
แม้เป็นระบบไฮบริดขนาดเล็ก แต่ช่วยให้ประหยัดเชื้อเพลิงอย่างได้ผล ออพชันก็จัดเต็ม