ธุรกิจ
ข่าวเด่นในรอบสัปดาห์
BMW เร่งเครื่องรับปี 68 เปิดรถใหม่ 9 รุ่น
บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย เปิดฉากปี 2568 อย่างแข็งแกร่ง ประกาศกลยุทธ์รักษาตำแหน่งผู้นำในตลาดรถยนต์พรีเมียมของประเทศไทยเป็นปีที่ 5 ติดต่อกัน เปิดตัวรถยนต์ และมอเตอร์ไซค์ใหม่รวม 9 รุ่นในช่วงต้นปีนี้ เพื่อนำสมรรถนะ และนวัตกรรมสุดตื่นตาจากสนามแข่งมาให้สัมผัสบนท้องถนนในไทย ก่อนจะเดินหน้าเปิดตัวรุ่นอื่นๆ เพิ่มเติมอีกตลอดปี 2568
เรเน แกร์ฮาร์ด ประธาน และซีอีโอ บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย กล่าวว่า ปีที่ผ่านมา ท่ามกลางตลาดรถยนต์เซกเมนท์พรีเมียมในประเทศไทยที่ต้องเผชิญกับความท้าทายในหลายด้าน BMW (บีเอมดับเบิลยู) และ MINI (มีนี) มียอดส่งมอบรถยนต์รวมกันอยู่ที่ 13,659 คันในปี 2567ครองส่วนแบ่งตลาดที่ 45 % ทั้งนี้ ยอดจดทะเบียนรถยนต์ใหม่ 12,208 คันของ BMW ในปีที่แล้ว ทำให้แบรนด์ยังคงรักษาตำแหน่งผู้นำยอดจดทะเบียนรถยนต์ระดับพรีเมียมในประเทศไทยได้เป็นปีที่ 5 ติดต่อกัน ขณะที่การเปิดตัวรุ่นใหม่ในตระกูล New MINI Family ส่งผลให้ MINI มียอดส่งมอบรถเพิ่มสูงขึ้นอย่างแข็งแกร่งถึง 7.6 %
นอกเหนือจากยอดส่งมอบรถยนต์ที่มั่นคงในภาพรวมแล้ว บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ยังทำผลงานในตลาดรถยนต์สำหรับลูกค้าองค์กรได้อย่างยอดเยี่ยมในปีที่แล้ว หลังจากที่ส่วนแบ่งตลาด ฟลีทในกลุ่มรถยนต์หรูของ BMW ขยายตัวขึ้นมาเป็น 70 % ในปี 2567 หรือโตขึ้นจากปีก่อนหน้าถึง 27 % ซึ่งเป็นความเคลื่อนไหวที่สะท้อนถึงความเชื่อมั่นที่กลุ่มธุรกิจการโรงแรมมีให้ต่อ BMW
“เราได้ก้าวเข้าสู่ปี 2568 อย่างเต็มตัว ด้วยความมุ่งมั่นที่แรงกล้ายิ่งขึ้นในการยกระดับทั้งนวัตกรรมการขับขี่ และความพึงพอใจของลูกค้า ในปีที่ผ่านมา รถยนต์พลังงานไฟฟ้า และรุ่นสมรรถนะสูงของเราได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นในตลาด เราจึงพร้อมสนองความต้องการของลูกค้าทันทีด้วยทัพรถยนต์ใหม่จากตระกูล M และ M Performance นำโดย BMW 4 Series (บีเอมดับเบิลยู ซีรีส์ 4) ใหม่ พร้อมด้วย MINI John Cooper Works (มีนี จอห์น คูเพอร์ เวิร์คส์) รุ่นแรกที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า และซูเพอร์ไบค์ BMW S 1000 RR (บีเอมดับเบิลยู เอส 1000 อาร์อาร์) ที่ผ่านการปรับโฉมอีกครั้ง“
นอกจากการเปิดตัวรุ่นใหม่ เรายังคงทำงานอย่างใกล้ชิดกับเครือข่ายผู้จำหน่ายที่ยังขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ภายใต้เป้าหมายที่จะนำแนวคิด "Retail Next" เข้าไปเป็นหัวใจของโชว์รูม BMW ทุกแห่งทั่วประเทศภายใน 2 ปีข้างหน้า สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของเราในการยกระดับความพึงพอใจของลูกค้าทั้งในด้านการขาย และบริการ ผ่านความร่วมมือกับผู้จำหน่ายตลอดทั้งปี 2568
ในปี 2567 BMW แนะนำรถยนต์ไฟฟ้า ทั้งสิ้น 6 รุ่นในประเทศไทย หลังจากที่ได้เปิดตัว BMW I5 และ IX2 เข้ามาเสริมทัพรุ่น IX3, I4, I7 และ IX ทำให้ส่วนแบ่งตลาดรถยนต์ไฟฟ้าระดับพรีเมียมของ BMW เติบโตอย่างก้าวกระโดดในปีที่แล้ว โดยพุ่งขึ้นจาก 13.5 % ในปี 2566 มาเป็น 22.6 % ในปี 2567 และมีส่วนช่วยผลักดันให้ส่วนแบ่งตลาดพรีเมียมของ BMW เพิ่มสูงขึ้นเป็นสถิติใหม่ที่ 39.9 % ส่วนการเปิดตัว New MINI Family ในปีที่ผ่านมา เปิดโอกาสให้แฟนๆ ชาวไทยได้เป็นเจ้าของ MINI ไฟฟ้าโฉมใหม่ได้ ทั้งในรุ่น Cooper Countryman (คูเพอร์ คันทรีแมน) และน้องใหม่ล่าสุดอย่าง Aceman (เอศแมน) ทำให้ยอดส่งมอบรถยนต์ไฟฟ้าของ MINI เติบโตขึ้นกว่า 44 % จากปีก่อนหน้า
สำหรับตลาดไทย แฟนๆ BMW M ยังคงให้การต้อนรับรุ่นใหม่อย่าง BMW M5 และ M4 CS อย่างอบอุ่น หลังจากที่เปิดตัวไปในงาน “มหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 41” ที่ผ่านมา และปี 2568 ก็จะตื่นเต้นเร้าใจยิ่งกว่าเดิม ด้วยรถยนต์ใหม่จากตระกูล M และ M Performance ที่จ่อคิวรอเปิดตัวเพิ่มเติมอีกตลอดปี
ผลการสำรวจความพึงพอใจของลูกค้าในปี 2567 เผยให้เห็นว่า บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ทำผลงานได้ดีขึ้นทั้งในด้านการขาย และการบริการ ด้วยคะแนน Net Promoter Score (NPS) ด้านการขายที่ 95 คะแนน (เพิ่มขึ้น 1 คะแนนจากปี 2566) และด้านการบริการที่ 93 คะแนน (เพิ่มขึ้น 2 คะแนนจากปี 2566) โดยนับเป็นสถิติสูงสุดสำหรับทั้ง 2 ด้าน
ในปี 2568 นี้ บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ยังคงมุ่งมั่นพัฒนาประสบการณ์ของลูกค้าให้ดียิ่งขึ้นในทุกจุดสัมผัส แนวคิด “Retail Next” ที่มุ่งเน้นการผสานนวัตกรรมดิจิทอล และงานออกแบบที่ยึดลูกค้าเป็นศูนย์กลาง จะขยายตัวครอบคลุมโชว์รูม และศูนย์บริการกว้างขวางขึ้นในปีนี้ ภายใต้เป้าหมายที่จะเพิ่มอัตราส่วนของโชว์รูมแบบ Retail Next จาก 60 เป็น 100 % ทั่วประเทศภายใน 2 ปีข้างหน้า ดังจะเห็นได้จากการเปิดตัวโชว์รูม เพอร์ฟอร์แมนซ์ มอเตอร์ส อยุธยา ในช่วงปลายปีที่แล้ว ด้วยพื้นที่โชว์รูม และศูนย์บริการรวม 8,800 ตรม. ที่ครบครันด้วยประสบการณ์สุดพิเศษสำหรับลูก ค้า BMW และ MINI และงานออกแบบที่สะท้อนมรดกทางวัฒนธรรมของอยุธยา
เพื่อตอบสนองต่อกระแสความสนใจในผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายมากยิ่งขึ้นของ บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย บริษัทได้ขยายความร่วมมือกับเครือข่ายผู้จำหน่ายด้วยการรับรองโชว์รูม “M Certi fied” เพิ่มอีก 3 สาขา ได้แก่ ยุโรปา มอเตอร์ (สาขาสำนักงานใหญ่), อมร เพรสทีจ รังสิต และบาร์เซโลนา มอเตอร์ บางแค ซึ่งทำให้ BMW มีโชว์รูม M Certified พร้อมมอบประสบการณ์สุดตื่นตาตื่นใจในโลกของ BMW M ให้กับลูกค้าในกว่า 8 สาขาทั่วกรุงเทพฯ
ทางด้าน MINI ก็เตรียมเดินเกมรุกต่อยอดความคึกคักจากปีที่ผ่านมา ด้วยการขยายเครือข่ายผู้จำหน่าย MINI อย่างเป็นทางการ ทั้งที่บาร์เซโลนา มอเตอร์ บางแค, เพอร์ฟอร์แมนซ์ มอเตอร์ส ราช พฤกษ์ และยุโรปา มอเตอร์ สำนักงานใหญ่ ส่วน BMW Motorrad (บีเอมดับเบิลยู มอเตอร์ราด) ก็ได้ขยายเครือข่ายพันธมิตรแล้วเช่นกันด้วยการเปิดตัวโชว์รูมใหม่ โมโตกรุ๊ป ย่านพระราม 5
พร้อมกันนี้ MINI เตรียมกลับสู่สายการผลิตในไทยเป็นครั้งแรกในรอบ 7 ปี ที่โรงงาน และสายการผลิตของ บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป แมนูแฟคเจอริ่ง ประเทศไทย ที่จังหวัดระยอง นับเป็นความสำเร็จอันน่าภาคภูมิใจของ บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ในประเทศไทย และยังเป็นส่วนสำคัญของเครือข่ายสายการผลิตทั่วโลก ในปีนี้ โรงงานแห่งนี้จะได้ ผลิต MINI Countryman (มีนี คันทรีแมน) รุ่นล่าสุด สู่สายการผลิตในประเทศไทยอีกครั้ง เพื่อให้แฟนชาวไทยจับจองเป็นเจ้าของ MINI รุ่นใหญ่ตัวนี้กันได้ง่ายยิ่งขึ้น นอกจากนี้ การกลับมาของ MINI ยังทำให้โรงงานแห่งนี้เป็นสายการผลิตแห่งเดียวในโลกของ บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ที่สามารถประกอบรถยนต์และรถจักรยานยนต์จากทั้งแบรนด์ BMW MINI และ BMW Motorrad
...................................................................................................................
Zeekr เปิดตัว 009 รุ่น 7 ที่นั่ง
Zeekr (ซีเคอร์) พร้อมพลิกโฉมประสบการณ์แห่งการเดินทาง เปิดตัว Zeekr 009 (ซีเคอร์ 009) รุ่น 7 ที่นั่ง ยนตรกรรมไฟฟ้าเอมพีวีที่ถูกรังสรรค์เพื่อนิยามใหม่ของความลักชัวรี ภายใต้แนวคิด “Every Journey Shines, Every Seat Matters” ด้วยการยกระดับความสะดวกสบายให้ทุกการเดินทาง ทั้งสำหรับผู้ขับขี่ และผู้โดยสารโดยยังคงประสบการณ์ระดับเฟิร์สต์คลาสส์ในทุกที่นั่ง ราคาจำหน่ายเริ่มต้น 3.099 ล้านบาท
อเลกซ์ เปา กรรมการผู้จัดการภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซีเคอาร์ อินเทลลิเจนท์ เทคโนโลยี กล่าวว่า ความสำเร็จของ Zeekr 009 รุ่น 6 ที่นั่งในปีที่ผ่านมา มีการส่งมอบแล้วกว่า 1,000 คัน ทั่วประเทศไทยเป็นเครื่องพิสูจน์ว่า Zeekr 009 ไม่เพียงแค่เป็นรถยนต์ไฟฟ้า แต่เป็นตัวแทนของไลฟ์สไตล์ที่สะท้อนรสนิยมของผู้ใช้ได้อย่างลงตัว Zeekr 009 ทลายกรอบ “ความหรูหราแบบเดิมๆ” และมุ่งเน้นประสบการณ์ของผู้ใช้เป็นสำคัญ พร้อมสร้างมาตรฐานใหม่ให้แก่ตลาดเอมพีวีระดับลักชัวรี โดย Zeekr 009 รุ่น 6 ที่นั่ง ออกแบบมาเพื่อความเป็นส่วนตัว และความหรูหรา
ส่วน Zeekr 009 รุ่น 7 ที่นั่ง สร้างขึ้นมาภายใต้แนวคิดเดียวกัน “Every Journey Shines, Every Seat Matters” นำเสนอทางเลือกใหม่สำหรับครอบครัว และกลุ่มเพื่อนที่มองหาประสบการณ์การเดินทางที่สะดวกสบาย และเหนือระดับ โดยยกระดับมาตรฐานยนตรกรรมหรูสำหรับครอบครัวให้ก้าวข้ามขีดจำกัดเดิม ด้วยการผสานนวัตกรรมล้ำสมัยเข้ากับความหรูหรา ทำให้ Zeekr 009 ไม่ใช่เพียงแค่พาหนะสำหรับการเดินทาง แต่เป็นนิยามใหม่ของความพรีเมียมที่มอบทั้งสมรรถนะเหนือชั้น ห้องโดยสารระดับเฟิร์สต์คลาสส์ และวัสดุคุณภาพสูงที่สะท้อนถึงความประณีตในทุกรายละเอียด โดยในรุ่นนี้ยังคงไว้ซึ่งฟีเจอร์ระดับไฮเอนด์อย่างครบครัน เช่น เบาะหนัง Nappa นุ่มพิเศษ มาพร้อมระบบนวดไฟฟ้า เพื่อความสบายสูงสุด พร้อมดื่มด่ำกับความบันเทิงผ่านหน้าจอ OLED ทัชสกรีนขนาด 15.05 นิ้ว, หน้าจอแสดงผลแบบเออาร์ AR-HUD ขนาด 35.95 นิ้ว และหน้าจอเพดานสำหรับผู้โดยสารด้านหลังแบบ OLED ระบบสัมผัสขนาด 17 นิ้ว
ขับเคลื่อนด้วยชิพเซท Qualcomm Snapdragon 8295 อันทรงพลัง พร้อมระบบเสียง Yamaha 30 จุดรอบคันมอบประสบการณ์เสียงรอบทิศทางระดับพรีเมียม ให้ทุกเส้นทางเต็มไปด้วยความสะ ดวกสบาย หรูหรา และเหนือระดับอย่างแท้จริง ที่พร้อมยกระดับทุกการเดินทางของคุณให้กลายเป็นช่วงเวลาพิเศษที่น่าจดจำ
พร้อมกันนี้ยังมาพร้อมกับสมรรถนะที่เหนือชั้น กับมอเตอร์ไฟฟ้าคู่ ที่ให้กำลังสูงถึง 603 แรงม้า อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. เพียง 4.5 วินาที และแบทเตอรีขนาด 116 กิโลวัตต์ชั่วโมง ที่ให้ระยะทางการขับขี่ 686 กม./การชาร์จ 1 ครั้งตามมาตรฐาน NEDC เดินทางอย่างนุ่มนวลด้วยช่วงล่างแบบถุงลมประสิทธิภาพสูง และระบบกันสะเทือน CCD Electromagnetic Vibration Reduction System และระบบความปลอดภัย Zeekr AD ที่ครบครัน ไม่ว่าจะเป็นระบบช่วยจอดรถอัตโนมัติระบบป้องกันการชนด้านหน้า รวมไปถึงเตือนการชนจากด้านหลัง มั่นใจในทุกเส้นทางกับระบบ Passive Safety Systems ทั้งโครงสร้างด้านหลังแบบ Single-Piece Die-Casting Aluminum และถุงลม 7 จุด
Zeekr 009 มี 3 โทนสีรถภายนอกได้แก่ สีขาว (Crystal White) พร้อมสีภายในสีดำ (Stone Black) สีดำ (Phantom Black) พร้อมสีภายในสีเทาขาว (Stone Grey & Polar white) และสีดำ (Stone Black)
นอกจากนี้ ยังมีการเปิดตัวสีใหม่ ได้แก่ สีเขียว (Mineral Green) พร้อมสีภายในสีเทาขาว (Stone Grey & Polar white) และสีดำ (Stone Black)
Zeekr 009 รุ่น 7 ที่นั่ง มีราคาจำหน่ายอยู่ที่ 3,099,000 บาท พร้อมข้อเสนอพิเศษต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น
ฟรี Wallbox ขนาด 11 กิโลวัตต์ พร้อมแพคเกจติดตั้ง, ฟรี สายชาร์จฉุกเฉิน, ฟรี ประกันภัยรถยนต์ ชั้น 1 พร้อม พรบ. คุ้มครองเป็นระยะเวลา 1 ปี, ฟรี ค่าจดทะเบียนรถยนต์, ฟรี บริการช่วยเหลือฉุก เฉิน (Roadside Assistance) ตลอด 24 ชม. เป็นระยะเวลา 5 ปี*, ฟรี ค่าอะไหล่ และค่าแรงบำรุงรักษาตามระยะทาง สูงสุดไม่เกิน 3 ครั้ง ภายในระยะเวลา 3 ปี หรือระยะทาง 60,000 กม. (อย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน)*
การรับประกันรถยนต์ เป็นระยะเวลา 5 ปี หรือระยะทาง 150,000 กม. (อย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน)*
การรับประกันมอเตอร์ขับเคลื่อน และแบทเตอรีแรงดันสูง เป็นระยะเวลา 8 ปี หรือระยะทาง 180,000 กม. (อย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน)*
...................................................................................................................
Hyundai ขยายไลน์ Ioniq
Hyundai (ฮันเด) ขยายไลน์อัพ Ioniq 5 (ไอโอนิก 5) ด้วยรุ่น N Line (เอน ไลน์) เสริมทัพรถไฟฟ้าเพิ่มตัวเลือก ราคาจำหน่ายในประเทศไทยที่ 1.988 ล้านบาท
เจ กิว จอง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ฮุนได โมบิลิตี้ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า N Line คือ การออกแบบพิเศษของ Hyundai เพื่อมอบประสบการณ์การขับขี่ที่เร้าใจมากขึ้นสำหรับรถไฟฟ้า โดย Hyundai มุ่งทลายข้อจำกัดของการขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า ผ่านการนำเสนอนวัตกรรม สมรรถนะ และการออกแบบที่ล้ำสมัย ซึ่งรถยนต์ในรุ่น N Line ยังเป็นมากกว่าความสวยงาม เพราะผสมผสานทั้งองค์ประกอบดีไซจ์นแนวสปอร์ท ในขณะเดียวกันยังคงความสะดวกสบายสำหรับการใช้งานในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นการขับขี่ในเมือง หรือเดินทางไกลบนทางหลวง Ioniq 5 N Line จึงเป็นตัวเลือกที่สมบูรณ์แบบสำหรับผู้ที่ต้องการสัมผัสความเร้าใจในชีวิตประจำวัน
Ioniq 5 N Line เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของตลาดรถยนต์ไฟฟ้า ด้วยชุดแบทเตอรีแบบใหม่ขนาด 84.0 กิโลวัตต์ชั่วโมง เพิ่มระยะทางการขับขี่ได้สูงสุดถึง 530 กม. (จากเดิม 481 กม. ในแบทเตอรีขนาด 72.6 กิโลวัตต์ชั่วโมง) มอบประสิทธิภาพ และความมั่นใจในการเดินทางที่ไกลขึ้น
Ioniq 5 N Line เป็นโมเดลแรกที่ทำตลาดพร้อมชุดแต่ง N Line ของ Hyundai เพื่อมอบประสบการณ์การขับขี่ที่เร้าใจมากขึ้น โดยถูกวางตำแหน่งให้อยู่ระหว่าง Ioniq 5 และรุ่นสมรรถนะสูงอย่าง Ioniq 5 N ผสมผสานแรงบันดาลใจจากโลกมอเตอร์สปอร์ท มายังการออกแบบ Ioniq 5 N Line ภายใต้สโลแกน “Spark your drive. เติมตัวตนที่ใช่” ที่สะท้อนถึงจิตวิญญาณของยานยนต์กลุ่ม N ของ Hyundai ตอบโจทย์ผู้ที่ต้องการโดดเด่นบนท้องถนนด้วยการออกแบบที่แตกต่าง ในขณะที่ยังคงความสะดวกสบายสำหรับการใช้งานในชีวิตประจำวัน
วัลลภ เฉลิมวงศาเวช กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฮุนได โมบิลิตี้ (ประเทศไทย) จำกัดกล่าวว่า การเปิดตัว Ioniq 5 N Line ถือเป็นการตอกย้ำความมุ่งมั่นของ ฮุนได โมบิลิตี้ (ประเทศไทย)ฯ ในการเป็นผู้นำด้านยานยนต์ไฟฟ้า ด้วยการนำเสนอนวัตกรรมรถยนต์ไฟฟ้าสมรรถนะสูงเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคชาวไทยที่กำลังเปลี่ยนแปลง รถยนต์รุ่นนี้ถือเป็นการขยายไลน์อัพของ Ioniq 5 โดยผสานการออกแบบที่นำแรงบันดาลใจจากวงการมอเตอร์สปอร์ทเข้ากับเทคโนโลยีไฟฟ้าขั้นสูงเพื่อนำเสนอรถยนต์ไฟฟ้าที่เน้นสมรรถนะมาสู่ตลาดเมืองไทย ยกระดับพอร์ทโฟลีโอของ Ioniq และเสริมความแข็งแกร่งให้แก่แบรนด์ Hyundai ในกลุ่มยานยนต์ไฟฟ้าระดับพรีเมียม
Ioniq 5 N Line เปิดตัวอย่างเป็นทางการในประเทศไทย ด้วยราคาเริ่มต้นที่ 1.988 ล้านบาท
ทั้งนี้การเพิ่มไลน์อัพของ Hyundai เป็นการเพิ่มทางเลือกให้ลูกค้ายิ่งขึ้น โดยปีนี้ Hyundai ตั้งเป้ามียอดขายรวมที่ 4.500 คัน
โดยรถยนต์ที่นำเข้ามาจำหน่ายจะเป็นการนำเข้ามาจาก เกาหลีใต้ อินโดนีเซีย และเวียดนาม ซึ่งโรงงานประกอบรถยนต์ Hyundai ที่ตั้งอยู่ที่บางปูใหม่ จะเริ่มดำเนินการได้ในเดือนมกราคม ปี 2569 โดยช่วงแรกจะประกอบ Ioniq ส่วนรุ่นอื่นๆ ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมกับตลาด
...................................................................................................................
Nissan ประเทศไทย ชี้แจงปิดโรงงาน
ในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของมาตรการฟื้นฟูกิจการทั่วโลกของ Nissan (นิสสัน) และการเปลี่ยนแปลงทางธุรกิจที่กำลังดำเนินการในภูมิภาคอาเซียน และประเทศไทย Nissan จะทำการรวมกระบวนการผลิตรถยนต์บางส่วนจากโรงงานที่ 1 ไปยังโรงงานที่ 2 ในประเทศไทย และดำเนินการปรับปรุงสายการผลิต ซึ่งจะเริ่มตั้งแต่ไตรมาสที่ 1 ปีงบประมาณ 2025 ภายใต้แผนงานเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพด้านต้นทุนคงที่ และเตรียมความพร้อมสำหรับการผลิตรถยนต์รุ่นใหม่ในประเทศไทย
โรงงานที่1 จะยุติการประกอบรถยนต์ โดยจะถูกปรับให้เป็น โรงงานประกอบตัวถัง ประกอบชิ้นส่วนพลาสติค และปั๊มขึ้นรูปชิ้นส่วน รวมถึงงานลอจิสติคส์ภายในโรงงาน
ทั้งนี้ประเทศไทยจะยังคงเป็นตลาดสำคัญของ Nissan ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และบริษัทฯ ยังคงมุ่งมั่นที่จะเติบโต และพัฒนาแบรนด์ และธุรกิจ ในตลาดอาเซียน และประเทศไทยต่อไป
...................................................................................................................
อัพเดทกฎหมาย เมาแล้วขับ 2568 มีโทษอย่างไร ?
จากกระแสข่าว รัฐบาลเตรียม "ปลดลอค" งดขายเหล้า-เบียร์ในวันพระ เเละยกเลิกห้ามขายช่วงเวลา 14.00-17.00 น. ระหว่างรอความชัดเจน วันนี้เรามาอัพเดทกฎหมายเมาแล้วขับ ปี 2568 กันหน่อย ว่าบทลงโทษมีอะไรบ้าง เพื่อตั้งสติก่อนออกไปดื่ม และลดอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้นกับตนเอง และผู้อื่น
ดื่มแค่ไหนถึงเรียกว่า เมาแล้วขับ
ปริมาณแอลกอฮอลในเลือดเกิน 50 มิลลิกรัมเปอร์เซนต์
- หากปริมาณแอลกอฮอลในเลือดเกิน 50 มิลลิกรัมเปอร์เซนต์ จะถือว่าเป็นผู้เมาเเล้วขับ มีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี ปรับ 5,000-20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และถูกพักใช้ใบขับขี่ไม่น้อยกว่า 6 เดือน
ปริมาณแอลกอฮอลในเลือดเกิน 20 มิลลิกรัมเปอร์เซนต์
- สำหรับผู้ขับขี่มีอายุต่ำกว่า 20 ปี หรือมีใบอนุญาตขับรถชั่วคราว ห้ามมีปริมาณแอลกอฮอลในเลือดเกิน 20 มิลลิกรัมเปอร์เซนต์ โดยจะถือว่าเป็นผู้เมาสุรา
ดื่มอย่างไร ถึงไม่โดนจับ เมาแล้วขับ
หากจำเป็นต้องดื่มจริงๆ เราจะดื่มอย่างไรไม่ให้ระดับแอลกอฮอลในเลือดเกินกว่า 50 มิลลิกรัมเปอร์เซนต์ หรือดื่มขนาดไหนถึงกลายเป็นเมาแล้วขับ ผลวิจัยของคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล ระบุว่า
เครื่องดื่มประเภทเบียร์
- ดื่มเบียร์ (8 ดีกรี) 1 กระป๋อง (330 มิลลิลิตร) จะมีระดับแอลกอฮอลต่ำกว่า 50 มิลลิกรัมเปอร์เซนต์ รอด !!!
- ดื่มเบียร์ (8 ดีกรี) 2 ขวด (1,260 มิลลิลิตร) ระดับแอลกอฮอลในเลือดจะสูงกว่า 50 มิลลิกรัมเปอร์เซนต์ ไม่รอด !!!
- ดื่มเบียร์ (8 ดีกรี) 1 ขวด หรือ 2 กระป๋อง (630 มิลลิลิตร) ระดับแอลกอฮอลในเลือดจะอยู่ในช่วงระหว่าง 45-60 มิลลิกรัมเปอร์เซนต์ โดยประมาณ ทั้งนี้การจะเกินหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับน้ำหนักตัวของผู้ดื่ม
หากผู้ดื่มมีน้ำหนักอยู่ที่ 60-69 กก. ระดับแอลกอฮอลในเลือดจะอยู่ที่ 50 มิลลิกรัมเปอร์เซนต์ รอด !!!!
หากผู้ดื่มมีน้ำหนักน้อยกว่า 60-69 กก. ระดับแอลกอฮอลในเลือดจะสูงกว่าที่กำหนด ไม่รอด !!!
เครื่องดื่มประเภทวิสกี
- ผู้ดื่มเพศชายที่มีส่วนสูง 170 ซม. น้ำหนักมากกว่า 58 กก. สามารถดื่มวิสกีได้ 100 และ 80 มิลลิลิตร ตามลำดับดีกรี รอด !!!
- ผู้ดื่มเพศหญิงที่มีส่วนสูง 158 ซม. น้ำหนัก 45-55 กก. สามารถดื่มวิสกีได้ในปริมาณ 40 และ 60 มิลลิลิตร รอด !!!
** 1 แก้ว = 100 มิลลิลิตร/1 ฝา เท่ากับ 10 มิลลิกรัม
เครื่องดื่มประเภทไวน์ 10-12 ดีกรี
- ผู้ดื่มเพศชาย สูง 170 ซม. น้ำหนักมากกว่า 61 กก. สามารถดื่มได้ 300 มิลลิลิตร รอด !!!
- ผู้ดื่มเพศหญิง สูง 157 ซม. น้ำหนักอยู่ที่ 45-55 กก. สามารถดื่มได้ 170 มิลลิลิตร รอด !!!
ไม่ยอมเป่าวัดแอลกอฮอล
การปฏิเสธการเป่าวัดแอลกอฮอล ถือว่าเป็นการยอมรับว่าเมาแล้วขับ มีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี ปรับตั้งแต่ 10,000-20,000 บาท ระงับใบขับขี่ไม่ต่ำกว่า 6 เดือน ศาลสามารถสั่งพักใบขับขี่ และเพิกถอนใบอนุญาตขับรถได้
โทษเมาแล้วขับจนทำให้ผู้อื่นบาดเจ็บ-เสียชีวิต
เมาแล้วขับจนทำให้ผู้อื่นบาดเจ็บ
จำคุกตั้งแต่ 1-5 ปี ปรับ 20,000-100,000 บาท และถูกสั่งพักใช้ใบอนุญาตขับรถไม่น้อยกว่า 6 เดือน หรือเพิกถอนใบอนุญาตขับรถ
เมาแล้วขับจนทำให้ผู้อื่นบาดเจ็บสาหัส
จำคุกตั้งแต่ 2-6 ปี ปรับ 40,000-120,000 บาท ระงับใบอนุญาตขับรถไม่น้อยกว่า 2 ปี
เมาแล้วขับจนทำให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย
จำคุกตั้งแต่ 3-10 ปี ปรับตั้งแต่ 60,000-200,000 บาท และเพิกถอนใบอนุญาตขับรถทันที
ทางที่ดีเพื่อความปลอดภัยของตัวเอง และเพื่อนร่วมทาง หากจำเป็นต้องไปดื่มจริงๆ ให้กลับแทกซี หรือให้เพื่อน (ที่ไม่ดื่ม) ขับรถแทน ก็จะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุได้มาก
...................................................................................................................
Great Wall Motor ทุ่มงบกว่า 250 ล้านบาท ใน GWM Sunergy Space
Great Wall Motor (ประเทศไทย) ประกาศก้าวสำคัญรับปี 2568 มุ่งเน้นการส่งเสริมการดำเนินธุรกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเพื่อความยั่งยืนแบบรอบด้าน ทุ่มงบการลงทุนกว่า 250 ล้านบาท เปิดตัวโครงการ GWM Sunergy Space นวัตกรรมพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคาลานจอดรถ (Solar Carport) ณ โรงงานอัจฉริยะของ GWM จังหวัดระยอง มุ่งเน้นประโยชน์ 4 ด้านเพื่อความยั่งยืน
ไมเคิล ฉง กรรมการผู้จัดการ Great Wall Motor (ประเทศไทย) กล่าวว่า Great Wall Motor (กเรท วอลล์ มอเตอร์) ทุ่มงบการลงทุนกว่า 250 ล้านบาท เปิดตัวโครงการ GWM Sunergy Space นวัตกรรมพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคาลานจอดรถ (Solar Carport) ณ โรงงานอัจฉริยะของ GWM จังหวัดระยอง ซึ่งระบบโซลาร์นี้มีขนาด 8 เมกะวัตต์ และมีกำลังการผลิตไฟฟ้าได้ปีละกว่า 10 ล้านกิโลวัตต์ชั่วโมง ติดตั้งโดย บ้านปู เน็กซ์ฯ ผู้ให้บริการ Net Zero Solutions ชั้นนำในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิค
การลงทุนในโครงการ GWM Sunergy Space ครั้งนี้ ถือเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของวิสัยทัศน์ของเราในการสร้างสมดุลระหว่างการพัฒนานวัตกรรมยานยนต์อันล้ำสมัย และการดูแลสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน Great Wall Motor ตระหนักถึงความสำคัญของการใช้พลังงานสะอาดในกระบวนการผลิต และการกระจายสินค้าสู่ตลาด ซึ่งเป็นการขับเคลื่อนธุรกิจของ Great Wall Motor ระดับโลกที่ตั้งเป้าหมายในการลดการปล่อยแกสคาร์บอนให้เป็นศูนย์ภายในปี 2593 (ค.ศ. 2050) พร้อมตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคยุคใหม่ที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อมมากขึ้น และสะท้อนถึงความมุ่งมั่นของ Great Wall Motor ในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมยานยนต์สู่ความยั่งยืนอย่างแท้จริง เราภูมิใจที่ได้ร่วมมือกับ บ้านปู เน็กซ์ฯ ในการพัฒนาโครงการผลิตกระแสไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคาที่จอดรถที่ครอบคลุมเป็นบริเวณกว้างในโรงงานของเราที่จังหวัดระยอง ซึ่งจะช่วยลดการใช้พลังงานจากระบบไฟฟ้าหลัก อีกทั้งยังป้องกันความร้อนจากแสงแดดสำหรับรถที่เพิ่งออกจากสายการผลิตไปพร้อมกัน โครงการ “GWM Sunergy Space” ถือเป็นหนึ่งในความร่วมมือที่สำคัญระหว่างทั้ง 2 บริษัท ในการส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาด และสร้างความยั่งยืนให้แก่การดำเนินงานในอนาคต ซึ่งสะท้อนถึงการเดินหน้าเข้าสู่การเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมพลังงานสะอาดในอุตสาหกรรมยานยนต์ของไทย และในภูมิภาค
GWM Sunergy Space ถือเป็นโครงการที่มีการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์บริเวณที่จอดรถที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ซึ่งมีกำลังการผลิตขนาด 8 เมกะวัตต์ และสามารถผลิตไฟฟ้าได้ปีละกว่า 10 ล้านกิโลวัตต์ชั่วโมง โครงการดังกล่าว มีประโยชน์สำคัญ 4 ด้าน ได้แก่
การผลิตพลังงานทดแทน-ระบบโซลาร์บนหลังคาลานจอดรถจะเปลี่ยนแสงอาทิตย์ให้เป็นพลังงานไฟฟ้าช่วยผลิตพลังงานสะอาดที่สามารถนำมาใช้ในโรงงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การลดการใช้ไฟฟ้าจากระบบหลัก-การใช้พลังงานจากแหล่งพลังงานทดแทนจะช่วยลดการพึ่งพาพลังงานจากระบบไฟฟ้าหลักในพื้นที่ๆ ช่วยประหยัดต้นทุนในการผลิต และประหยัดพลังงานในระยะยาว
การป้องกันความร้อนจากแสงแดด-แผงโซลาร์เซลล์จะช่วยป้องกันความร้อนจากแสงแดดที่ตกลงบนรถยนต์ GWM ที่ผลิตออกมา และเตรียมส่งมอบให้กับลูกค้าในอนาคต ซึ่งจะช่วยยืดอายุการใช้งาน และรักษาความคงทนของวัสดุอุปกรณ์ของตัวรถที่มีความเซนซิทีฟกับแสง และความร้อน
การส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาด-โครงการนี้ไม่เพียงแต่ช่วยส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทนในภาคการผลิต ยังช่วยสร้างการรับรู้เกี่ยวกับการใช้พลังงานสะอาดในภาคธุรกิจต่างๆ และสังคมโดยรวม เพื่อลดการปล่อยแกสคาร์บอนออกสู่สิ่งแวดล้อม
สมิทธิพร เศรษฐปราโมทย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บ้านปู เน็กซ์ จำกัด กล่าวเสริมว่า บ้านปู เน็กซ์ฯ มีความยินดีอย่างยิ่งที่ได้ส่งมอบบริการ Net Zero Solutions โดยติดตั้งระบบโซลาร์บนหลังคาลานจอดรถที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยให้แก่ Great Wall Motor ซึ่งคาดว่าตลอดอายุสัญญาการติดตั้งโซลาร์ฯ 20 ปีนี้ จะช่วยประหยัดค่าไฟฟ้าได้กว่า 600 ล้านบาท และลดการปล่อยคาร์ บอนได้ประมาณ 100,000 ตัน โซลูชันของเราเป็นอีกก้าวสำคัญในการส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาด และสะท้อนถึงศักยภาพในการนำพลังงานแสงอาทิตย์มาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดในอุตสาห กรรม รวมถึงช่วยขับเคลื่อนการมุ่งสู่เป้าหมาย Net Zero ของ Great Wall Motor และเป้าหมายการปล่อยแกสเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ของประเทศไทย เราตั้งใจที่จะพัฒนา Net Zero Solutions แบบครบวงจรให้เหมาะสมกับธุรกิจลูกค้ามากที่สุด เพื่อการใช้พลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น และลดการปล่อยแกสคาร์บอนให้แก่ธุรกิจได้มากขึ้นในระยะยาว
...................................................................................................................
Yamaha แนะนำ New XMAX Connected
...................................................................................................................
OR เผยผลประกอบการปี 2567
OR เผยผลการดำเนินงานปี 2567 มีรายได้ขายและบริการ 723,958 ล้านบาท ลดลง 5.9 % จากปี 2566 โดยหลักจากปริมาณจำหน่ายน้ำมันที่ลดลง และราคาน้ำมันในตลาดโลกเฉลี่ยปรับลดลงของกลุ่มธุรกิจ Mobility ในขณะที่กลุ่มธุรกิจ Lifestyle และ Global ยังคงแข็งแกร่ง มีรายได้เพิ่มขึ้น 8.2 % และ 10.9 % ตามลำดับ อีกทั้งภาพรวมค่าใช้จ่ายดำเนินงานสุทธิปรับลดลงกว่า 11 % เร่งเสริมความแข็งแกร่งของธุรกิจ ผ่าน 3 พันธกิจหลัก สร้างความเชื่อมั่น และการเติบโตอย่างมั่นคง และยั่งยืน
หม่อมหลวงปีกทอง ทองใหญ่ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานปี 2567 มีรายได้ขายและบริการ 723,958 ล้านบาท ลดลง 45,783 ล้านบาท หรือลดลง 5.9 % จากปี 2566 โดยหลักจากปริมาณจำหน่ายน้ำมันที่ลดลง และราคาน้ำมันในตลาดโลกเฉลี่ยปรับลดลงของกลุ่มธุรกิจ Mobility โดยรายได้ขายลดลง 7.4 % สวนทางกับกลุ่มธุรกิจ Lifestyle ที่เพิ่มขึ้น 8.2 % ตามการขยายสาขาที่เพิ่มขึ้นของทั้งธุรกิจค้าปลีกอาหาร และเครื่องดื่ม โดยในปี 2567 Cafe Amazon มียอดขายรวมกว่า 400 ล้านแก้ว ซึ่งถือเป็นการเติบโตอย่างต่อเนื่อง และธุรกิจค้าปลีกอื่นๆ กลุ่มธุรกิจ Global ปรับเพิ่มขึ้น 10.9 % ตามปริมาณจำหน่ายน้ำมันที่เพิ่มขึ้นในประเทศฟิลิปปินส์เป็นหลัก และมี EBITDA จำนวน 17,666 ล้านบาท อ่อนตัวจากกลุ่มธุรกิจ Mobility แต่ กลุ่มธุรกิจ Lifestyle ยังแข็งแกร่งโดยปรับเพิ่มขึ้นจากธุรกิจค้าปลีกอาหาร และเครื่องดื่ม รวมทั้งกลุ่มธุรกิจ Global ก็ปรับเพิ่มขึ้นโดยหลักจากภาพรวมกำไรขั้นต้นเฉลี่ย/ลิตรที่ฟื้นตัวในประเทศฟิลิปปินส์ ภาพรวมค่าใช้จ่ายดำเนินงานสุทธิปกติยังปรับลดลง 11.7 % โดยหลักจากค่าโฆษณา และส่งเสริมการขาย ซึ่งในปีที่ผ่านมามีค่าใช้จ่ายพิเศษเนื่องจากใช้กลยุทธ์การทบทวน Portfolio ยุติธุรกิจที่ไม่ทำกำไร และให้ความสำคัญกับธุรกิจที่ทำกำไร และมีโอกาสเติบโตในอนาคต ซึ่งจะส่งผลดีต่อธุรกิจของ OR ในระยะยาว สำหรับกำไรสุทธิ มีจำนวน 7,650 ล้านบาท ลดลงจากปี 2566 3,444 ล้านบาท หรือลดลง 31.0 %
สำหรับผลการดำเนินงานในไตรมาส 4/2567 ปรับดีขึ้นในทุกกลุ่มธุรกิจ โดยมีรายได้ขายและบริการ 185,904 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9,773 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 5.5 % จากไตรมาสก่อนหน้า โดยเพิ่มขึ้นจากทั้งกลุ่มธุรกิจ Mobility และกลุ่มธุรกิจ Lifestyle มี EBITDA จำนวน 4,887 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3,124 ล้านบาท หรือมากกว่า 100 % เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน และมีกำไรสุทธิ จำนวน 2,999 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อน 4,608 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นกว่า 100 %
ทั้งนี้ ในปี 2567 ที่ผ่านมา OR ได้รับการประเมินผลหุ้นยั่งยืน SET ESG Ratings ประจำปี 2567 ติดอันดับรายชื่อหุ้นยั่งยืนที่ระดับสูงสุด “AAA” ต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 ตอกย้ำความมุ่งมั่นในการดำเนินธุร กิจเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน รวมถึงยังคว้าอันดับ 1 ดัชนีความยั่งยืนระดับโลก DJSI ในกลุ่มธุรกิจค้าปลีกเป็นปีที่ 2 สะท้อนให้เห็นถึงการดำเนินธุรกิจบนรากฐานของความยั่งยืน และได้รับการยอมรับในระดับสากล
สำหรับปี 2568 คาดว่าผลการดำเนินงานโดยรวมจะปรับตัวดีขึ้น จากแนวโน้มเศรษฐกิจที่ฟื้นตัว โดยหลักจากภาคการท่องเที่ยว การบริโภค และการลงทุน โดยคาดว่าในปี 2568 จะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติ ใกล้เคียงระดับปกติ โดยมุ่งเน้นการใช้ Digitalization & Innovation เป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญในการเสริมความแข็งแกร่งของธุรกิจ สำหรับกลุ่มธุรกิจ Mobility ตั้งเป้ารักษาความเป็นผู้นำในธุรกิจค้าน้ำมันในประเทศไทย และดึง Market share กลับมา มุ่งเดินหน้าสร้างความเชื่อมั่นกับผู้บริโภค และเป็นพาร์ทเนอร์ในการเดินทางสำหรับทุกคน (Mobility Partner) ผ่านเครือข่ายสถานีบริการ PTT Station รวมทั้งเพิ่มประสิทธิภาพโครงสร้างพื้นฐานอย่างต่อเนื่องเพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขัน และเตรียมความพร้อมในการขยายจากธุรกิจน้ำมันสู่ธุรกิจพลังงานแบบผสมผสาน (New Energy-Based) เพื่อรองรับแนวโน้มพลังงานสะอาดในอนาคต เช่น การสร้างเครือข่ายสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า EV Station PluZ การติดตั้งพลังงานแสงอาทิตย์ (Solar Cell) รวมถึงพลังงานทางเลือกอื่นในอนาคต สำหรับกลุ่มธุรกิจ Lifestyle จะยังคงรักษาความแข็งแกร่งของ Café Amazon ตลอด Value Chain รวมทั้งหาโอกาสในการลงทุนใหม่ๆ ร่วมกับพันธมิตรเพื่อสร้างโอกาสในการเติบโตให้ครอบคลุมทั้งธุรกิจอาหาร และเครื่องดื่ม (Food & Beverage) และธุรกิจไลฟ์สไตล์อื่นๆ เพื่อให้ทำหน้าที่เป็นแม่เหล็ก (Magnet) ในการดึงดูดลูกค้าให้แก่ธุรกิจหลักของ OR รวมถึงการศึกษาธุรกิจด้าน Health & Wellness ที่มีโอกาสเติบโตสูง เพื่อตอบสนองการใช้ชีวิตของผู้บริโภคในทุกรูปแบบ และยกระดับระบบนิเวศทางธุรกิจให้แข็งแกร่ง
ส่วนกลุ่มธุรกิจ Global ยังคงสานต่อนโยบายในการขยายธุรกิจในประเทศกัมพูชาในฐานะที่เป็น Second Home Base เนื่องจากเป็นประเทศที่มีการเติบโตทางเศรษฐกิจ และเสถียรภาพทางการเมือง รวมถึงมี Demand สำหรับสินค้า และบริการของ OR รวมถึงแสวงหาโอกาสการเติบโตไปยังประเทศใหม่ โดยร่วมลงทุนกับพันธมิตรที่มีศักยภาพอย่างต่อเนื่องเพื่อช่วยสนับสนุนต่อยอดในธุรกิจปัจจุบันมุ่งหวังสู่การเติบโตที่ยั่งยืนในอนาคต โดยในปี 2568 จะใช้งบลงทุนรวม 18,886.9 ล้านบาท แบ่งเป็นลงทุนในกลุ่มธุรกิจ Mobility จำนวน 7,656.7 ล้านบาท กลุ่มธุรกิจ Lifestyle จำนวน 7,280.4 ล้านบาท กลุ่มธุรกิจ Global จำนวน 2,771.8 ล้านบาท และกลุ่มธุรกิจ Innovation & New Business อีกจำนวน 1,178.0 ล้านบาท
