ทดลองขับ(formula)
ทดลองขับ Honda Jazz แฮทช์แบคยอดนิยม ปรับโฉมลงตัวกว่าเดิมกับรุ่น RS+

หลังจากทำตลาดมาร่วม 3 ปี ทาง Honda บ้านเราก็ได้ปรับโฉม Jazz หนึ่งในแฮทช์แบคยอดนิยมในปลุ่ม บี เซกเมนท์ แม้การเปลี่ยนแปลงจะมีไม่กี่จุด แต่ทำให้รถรุ่นนี้มีความโดดเด่นกว่าเดิมมาก เราได้ทดลองขับกับรุ่น RS+ ตัวทอพ รูปทรงภายนอกจะคมเข้มเป็นพิเศษ เริ่มจากชุดกันชนหน้าเน้นสันเหลี่ยมในแนวนอน ต่อเนื่องตลอดช่วงความกว้าง ผสมกับรูปทรงของกระจังหน้าที่มีเหลี่ยมสันมากขึ้นพร้อมโลโก RS ช่องรับอากาศ และด้านบนของไฟตัดหมอก ใช้วัสดุลวดลาย คาร์บอนเคฟลาร์ นอกจากนี้ไฟหน้ายังติดตั้งไฟส่องสว่างเวลากลางวันตามสมัยนิยม ส่วนท้ายตัวรถยังมีความโดดเด่นด้วยสันเหลี่ยมในแนวนอน เสริมด้วยช่อง Diffuser ลายคาร์บอนเคฟลาร์ เช่นกันบริเวณตรงกลางของกันชน เพิ่มความดุดันอย่างได้ผล
ภายในห้องโดยสารไม่มีการเปลี่ยนแปลงมากนัก ในรุ่น RS+ ใช้เบาะผ้ารูปทรงใหม่ เดินด้ายด้วยสีส้ม สีใหม่ของ Jazz รุ่นปรบโฉม ระบบเครื่องเสียงผ่านหน้าจอสัมผัสปรับปรุงเล็กน้อยให้รองรับการใช้งานกับโทรศัพท์มือถือได้ดียิ่งขึ้น จุดเด่นที่มีอยู่แล้วของ Honda Jazz รุ่นนี้ คือ ความปลอดโปร่ง และสะดวกสบายของห้องโดยสาร พื้นที่กระจกที่มีให้มากมาย ช่วยให้ขณะขับขี่ไม่รู้สึกอึดอัด แม้ในสภาพการจราจรที่หนาแน่นใน กรุงเทพฯ ก็ตาม ห้องโดยสารเก็บเสียงได้ดีสำหรับรถยนต์ระดับนี้ ทัศนวิสัยจากผู้ขับน่าพอใจ ผู้โดยสารนั่งสบายทุกตำแหน่ง เบาะแถว 2 สามารถปรับเอนได้เล็กน้อย แต่ก็เพิ่มความสะดวกสบายอย่างได้ผล ตัวถังแบบแฮทช์แบคทรง 1 กล่องของ Jazz ทำให้รุ่นรุ่นนี้มีความอเนกประสงค์ที่ยอดเยี่ยม พับเบาะได้หลากหลายรูปแบบ พื้นที่ใช้สอยเหลือเฟือ
เครื่องยนต์ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ ยังคงเป็นเบนซิน ขนาด 1.5 ลิตร กำลังสูงสุด 117 แรงม้า ที่ 6,000 รตน. แรงบิดสูงสุด 14.9 กก.-ม. ที่ 4,700 รตน. เกียร์อัตโนมัติแปรผัน CVT เทคโนโลยี Earth Dreams พร้อมแพดเดิล ชิฟท์ ที่พวงมาลัย (มีในรุ่น RS และ RS+) แบบ 7 จังหวะ สมรรถนะโดยรวมถือว่ามีการตอบสนองที่ดีทั้งในช่วงความเร็วต่ำสลับหยุดนิ่งในสภาพการจราจรที่หนาแน่น หรือการขับขี่บนทางด่วนที่มีสภาพการจราจรปลอดโปร่ง สามารถเพิ่มความเร็วได้อย่างต่อเนื่อง ยังคงเป็นแฮทช์แบคที่มีสมรรถนะดี ใช้งานได้หลากหลายทั้งในเมือง และการเดินทางไกล ส่วนอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ยตามที่ผู้ผลิตระบุมา คือ 16.7 กม./ลิตร ถือว่าทำได้สมตัวกับขนาดเครื่องยนต์ (ขนาดความจุถังน้ำมัน 40 ลิตร) แต่การรองรับน้ำมันเชื้อเพลิง E85 ทำให้ช่วยเรื่องการประหยัดค่าน้ำมันได้ส่วนหนึ่ง
การทดลองขับครั้งนี้ใช้เส้นทางบริเวณ กรุงเทพฯ และปริมณฑล ผ่านเส้นทางที่คนทั่วไปใช้งานกัน ทั้งทางด่วน เส้นทางหลักบางสาย และตรอกซอกซอย เราพบว่าระบบรองรับของ Honda Jazz ปรับแต่งให้เน้นความนุ่มนวล แต่ยังมีความมั่นคงที่น่าพอใจในช่วงความเร็วสูง พวงมาลัยมีน้ำหนักค่อนข้างเบา แต่ให้ความรู้สึกที่มั่นคงเป็นอย่างดีเช่นกัน การเข้าโค้งยังเป็นจุดเด่นของแฮทช์แบครุ่นนี้ การควบคุมทิศทางขณะเข้าโค้งทำได้ง่ายดาย ตัวรถไม่มีอาการโคลงมากเกินไป แฝงอารมณ์สปอร์ท ขับสนุก สมกับรูปทรงล่าสุดของตัวรถ
ในแง่ของระบบความปลอดภัย ถือว่าให้มาอย่างเพียงพอ ได้แก่ ระบบครูส คอนทโรล ระบบควบคุมเสถียรภาพตัวรถขณะเข้าโค้ง สัญญาณไฟฉุกเฉินอัตโนมัติเมื่อมีการเบรคกระทันหัน รวมถึงถุงลมนิรภัยรอบคันจำนวน 6 ใบ (เพิ่มถุงลมนิรภัยด้านข้าง และม่านลุงลมนิรภัย ในรุ่น RS+) และยังมีกล้องมองภาพด้านหลังขณะถอยรถ แบบ 3 มุมมอง (ในรุ่น V+ ขึ้นไป)
Honda Jazz เสริมรูปทรงด้วยมาดสปอร์ทให้มีความลงตัว และสะดุดตากว่าเดิม สันเหลี่ยมต่างๆ ดูดุดัน โดยเฉพาะตัวทอพ RS+ ขณะที่รุ่นย่อยรองลงมาก็มีสันเหลี่ยมที่ลงตัวเช่นกัน แต่จะดูเรียบง่ายกว่า ภายใต้ความกว้างขวาง และความอเนกประสงค์ ของห้องโดยสารที่ทำได้ดีอยู่แล้ว เป็นจุดเด่นสำคัญที่ทำให้แฮทช์แบคมีความน่าสนใจมากๆ แม้ขุมพลังจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ แต่การตอบสนองต่อการใช้งานทั่วไปถือว่าน่าพอใจอยู่แล้ว ในขณะที่ระบบความปลอดภัย แม้ไม่มากเท่าคู่แข่งบางราย แต่ถือว่าเพียงพอในแง่ของรถยนต์ยุคปัจจุบัน
Honda Jazz RS+ ราคา 754,000 บาท
Honda Jazz RS ราคา 739,000 บาท
Honda Jazz V+ ราคา 694,000 บาท
Honda Jazz V ราคา 654,000 บาท
Honda Jazz S CVT ราคา 594,000 บาท
Honda Jazz S MT ราคา 555,000 บาท
ข้อมูลจำเพาะ และอุปกรณ์มาตรฐานของแต่ละรุ่นย่อย : Honda Jazz
ขอขอบคุณ บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด สำหรับการทดลองขับในครั้งนี้ 

