Toyota Motor Corporation เป็นค่ายรถญี่ปุ่นเจ้าแรก ที่ประกาศผลการดำเนินงานในปี 2561 และมีรายได้สูงเป็นประวัติการณ์ถึง 30.2 ล้านล้านเยน โดยมีผลจากยอดการขายในประเทศจีนToyota สามารถทำยอดขายทั่วโลกได้เพิ่มจากปี 2560 ถึง 2.9 % แต่ประเมินว่า ยอดการขายในปีนี้ จะลดลง 0.7 % เหลือราว 30 ล้านล้านเยน แถลงการณ์ของ Toyota ระบุว่า ในปีนี้ ค่าใช้จ่ายด้านการดำเนินงานจะเพิ่มสูงขึ้น อันจะทำให้ผลกำไรลดลง รวมทั้งการขายในตลาดประเทศญี่ปุ่นลดลง และในสหรัฐอเมริกา รวมทั้งการดำเนินงานที่ยากลำบากในอนาคต อันเนื่องมาจากมีการเปลี่ยนแปลงทางด้านอุตสาหกรรมอย่างรวดเร็ว นับจนถึงปีงบประมาณ เดือนมีนาคม 2563 คาดว่าผลกำไรจะเพิ่มขึ้นราว 3.3 % เป็น 23.2 พันล้านเยน ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 2.6 ล้านล้านเยน ที่นักวิเคราะห์ประเมินเอาไว้ เมื่อเปรียบเทียบกับปีที่ผ่านมา ที่เพิ่มมากถึง 20 % ทางด้านค่าเงินเยนที่อ่อนตัวลง ก็ทำให้มีผลกระทบต่อผลกำไรด้วยเช่นกัน โดย Toyota ใช้พื้นฐานในการประเมินอยู่ที่อัตราแลกเปลี่ยน 110 เยน/1 เหรียญสหรัฐฯ ขณะที่บรรดาค่ายรถยนต์ ต่างก็ได้รับผลกระทบจากเทคโนโลยี แบ่งปันกันใช้ (Ride-Sharing Technology) และการแข่งขันในการพัฒนายานยนต์ไร้คนขับ ในเวลาอันรวดเร็วซึ่งทำให้จำเป็นต้องใช้เงินในการพัฒนาจำนวนมาก ที่เป็นผลกระทบกับทั้งอุตสาหกรรมรถยนต์ ขณะที่ Toyota ก็เข้าไปเกี่ยวพันกับเทคโนโลยีและการให้บริการชนิดใหม่ อาทิ Uber และ Grab ที่จำเป็นต้องใช้เวลานาน ในการได้รับผลกำไรกลับคืน ขณะที่สงครามการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกา ซึ่งเรียกเก็บเงินภาษีเพิ่มขึ้น ทำให้ Toyota ต้องเริ่มการลงทุนในสหรัฐอเมริกา เพิ่มขึ้น โดยวางแผนระยะยาวที่จะลงทุน 3 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ เพื่อตอบสนองกรณีที่ ประธานาธิบดี โดนััลด์ ทรัมพ์ พบกับนายกรัฐมนตรี ชินโซะ อาเบะ และยินดีที่จะสร้างโรงงานประกอบรถยนต์แห่งใหม่ในสหรัฐอเมริกา