บทความ
ทำไมรถชอบติดบนทางด่วน ?

เคยเจอกันไหม เวลาเราขับรถอยู่บนทางด่วน แล้วต้องเจอกับ “รถติด” แต่เมื่อขับผ่านจุดนั้นไปแล้ว ก็ไม่เห็นมีอะไรเลย ทำให้สงสัยว่า ทำไมรถชอบติดบนทางด่วน ไม่รู้เป็นเพราะสาเหตุอะไรกันแน่Highlight
หากต้องการเดินทางให้ถึงจุดหมายอย่างรวดเร็วเพื่อหนีการจราจรที่ติดขัด “ทางด่วน” อาจเป็นคำตอบสุดท้ายที่ผู้ใช้รถยอมควักกระเป๋าจ่ายค่าผ่านทาง แต่เคยสงสัยไหมว่า ทำไมการจราจรบนทางด่วนที่กำลังไหลลื่นอยู่ดีๆ ก็เกิดติดขัดขึ้นซะงั้น จากนั้นก็กลับมาลื่นไหลอีกครั้ง โดยไม่มีสาเหตุ
การขึ้นทางด่วนในช่วงแรก ถนนมักมีความกว้างประมาณ 4 ช่องเดินรถ แต่เมื่อถึงระยะที่เป็นทางแยก ถนนเหล่านี้มักถูกบีบให้เหลือเพียง 2 ช่องเดินรถ ขณะที่จำนวนรถยังคงเท่าเดิม ย่อมทำให้เกิดการชะลอตัว และส่งผลให้รถที่อยู่ในช่วงถนนกว้างต้องชะลอตัวไปด้วย บางครั้งมีรถยนต์บางคันพยายามแทรกจุดตัดโดยไม่ต่อคิว ทำให้เกิดการบังเลนกันขึ้น ซึ่งเป็นอีกหนึ่งกรณีที่ทำให้รถชะลอตัวได้
เมื่อรถคันหนึ่งเกิดการชะลอความเร็ว รถอีกคันหนึ่งก็มีผลกระทบต่อกันด้วย เช่น เมื่อรถคันหน้าลดความเร็วจาก 90 กม./ชม. เหลือ 80 กม./ชม. คันหลังจะต้องลดความเร็วให้ต่ำกว่า เหลือ 75, 70, 65, 60 กม./ชม. เพื่อรักษาระยะ และความปลอดภัย ต่อเนื่องกันไปเรื่อยๆ จนท้ายแถวอาจวิ่งได้ไม่เกิน 20 กม./ชม. หรือหยุดสนิท โดยเงื่อนไขการชะลอตัวนี้อาจเกิดจากความเร็วที่ไม่เหมาะสมของรถหัวแถว หรือในเวลาที่มีรถวิ่งบนถนนจำนวนมาก
ด่านค่าผ่านทาง คือ จุดที่รถทุกคันต้องชะลอตัว หรือหยุดสนิทอย่างเลี่ยงไม่ได้ แม้ว่าปัจจุบันจะมีระบบ M Flow เป็นระบบจัดเก็บค่าผ่านทางอัตโนมัติแบบไม่มีไม้กั้น ซึ่งช่วยให้รถบางส่วนไหลผ่านด่านได้เร็วขึ้น แต่อย่างไรก็ตามอาจมีผู้ใช้ M Flow บางคันมาร่วมต่อคิวกับผู้ที่ใช้ช่องจ่ายเงินสดก่อนเข้าด่านอยู่ดี
การขับรถบนทางด่วน จำเป็นต้องใช้อัตราความเร็วที่เหมาะสมให้สอดคล้องกับสภาพการจราจรขณะนั้น ตามกฎหมายเลนขวามีไว้สำหรับแซงเท่านั้น ห้ามขับแช่ขวายาวๆ แต่ในความเป็นจริง เรามักเห็นรถวิ่งแช่ขวากันเป็นประจำ โดยเฉพาะรถที่ขับช้า เป็นสาเหตุให้เกิดการชะลอตัวของการจราจรบนทางด่วน ดังนั้น ทุกครั้งเมื่ออยู่เลนขวาเราควรใช้ความเร็วให้เหมาะสม และควรหลีกทางให้รถด้านหลังที่เร็วกว่าเสมอ