ธุรกิจ
Michelin รุกก้าวสู่ปี 2473 ชูกลยุทธ์ความยั่งยืนทุกด้าน
Florent Menegaux ประธานกรรมการจัดการ, Yves Chapot ผู้จัดการทั่วไป และประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน ตลอดจนกรรมการบริหารกลุ่ม Michelin (มิเชอแลง) ทั้งคณะ ได้ร่วมกันนำเสนอแผนกลยุทธ์ “ความยั่งยืนทุกด้าน” (All Sustainable) ของกลุ่ม Michelin เพื่อก้าวสู่ปี 2573 ภายใต้แนวคิด Michelin in Motion
Menegaux ได้ให้รายละเอียดเกี่ยวกับวิสัยทัศน์ “ความยั่งยืนทุกด้าน” บนพื้นฐานของความพยายามสร้างสมดุลระหว่างผู้คน (People), ผืนโลก (Planet) และผลกำไร (Profit) พร้อมทั้งเผยถึงเป้าหมายของกลุ่ม Michelin ในปี 2573 ซึ่งเชื่อมโยงกับดัชนีชี้วัด 12 ประการ ที่ครอบคลุมทั้งด้านสิ่งแวดล้อม สังคม ไปจนถึงผลประกอบการทางสังคม และทางการเงิน
นอกจากนั้น ยังเน้นถึงความมุ่งมั่นของกลุ่ม Michelin ที่จะบรรลุเป้าหมายดังต่อไปนี้
ผู้คน
· มีอัตราความผูกพันของพนักงานต่อองค์กรมากกว่าร้อยละ 85
· เพิ่มสัดส่วนผู้หญิงในตำแหน่งบริหารให้ถึงร้อยละ 35
· กำหนดค่ามาตรฐานทั่วโลกสำหรับความปลอดภัยในที่ทำงาน โดยมุ่งให้มีอัตราการเกิดอุบัติเหตุจากการทำงาน (Total Case Incident Rate: TCIR) ต่ำกว่า 0.5
ผืนโลก
· ลดปริมาณการปล่อยแกสคาร์บอนไดออกไซด์จากกิจกรรมประเภท (Scope) ที่ 1 และ 2 ลงร้อยละ 50 เมื่อเทียบกับปี 2553 รวมทั้งลดปริมาณการปล่อยแกสคาร์บอนไดออกไซด์จากกิจกรรมประเภทที่ 3 ซึ่งเกี่ยวข้องกับภาคการคมนาคมขนส่งลงให้ได้อย่างชัดเจน โดยทุกประเภทมีเป้าหมายร่วมกันคือการปล่อยแกสคาร์บอนไดออกไซด์เป็น 0 ภายในปี 2593
· เพิ่มสัดส่วนการใช้วัตถุดิบที่ยั่งยืนในผลิตภัณฑ์ให้อยู่ที่ร้อยละ 40 ภายในปี 2573 เพื่อมุ่งสู่การบรรลุเป้าหมายที่จะใช้วัตถุดิบที่ยั่งยืนทั้งหมด หรือร้อยละ 100 ภายในปี 2593
ผลกำไร
· ขับเคลื่อนการเติบโตแบบยั่งยืนต่อเนื่อง โดยมียอดขายระหว่างปี 2566-2573 เพิ่มขึ้นเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 5/ปี หลังจากวิกฤติที่สืบเนื่องจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 สิ้นสุดลง
· มีสัดส่วนยอดขายจากธุรกิจที่ไม่เกี่ยวข้องกับยางล้ออยู่ที่ร้อยละ 20-30 เพื่อเสริมสร้างคุณค่าที่สำคัญโดยมีอัตราผลตอบแทนจากเงินทุน (Return on Capital Employed: ROCE) ระหว่างปี 2566-2573 อยู่ที่มากกว่าร้อยละ 10.5
ช่องทางการเติบโตทางธุรกิจใหม่ๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับยางล้อ
Michelin จะขยายตัว ลงทุน และคิดค้นนวัตกรรมใหม่ในธุรกิจยางอย่างต่อเนื่อง แนวโน้มการเดินทางสัญจรหลังวิกฤติ COVID-19 และการเติบโตอย่างก้าวกระโดดของตลาดยานยนต์ไฟฟ้าถือเป็นโอกาสในการเติบโตของกลุ่ม Michelin ซึ่งมุ่งมั่นพัฒนาความเป็นผู้นำทางเทคโนโลยีที่เหนือกว่าในด้านการออกแบบ และผลิตยางล้อสำหรับยานยนต์ไฟฟ้าโดยเฉพาะมาโดยตลอด ในภาคการขนส่งทางบก กลุ่ม Michelin จะให้ความสำคัญกับการสร้างคุณค่า ขณะที่ในกลุ่มผลิตภัณฑ์ยางรถเหมือง ยางรถตักดิน ยางรถเพื่อการเกษตร ยางล้อเครื่องบิน และยางรถยนต์ที่มีคุณสมบัติพิเศษ Michelin จะยังคงเป็นผู้กำหนดบรรทัดฐานด้วยผลิตภัณฑ์ และบริการที่โดดเด่นแตกต่าง
ด้วยศักยภาพด้านนวัตกรรม และความเชี่ยวชาญด้านวัสดุ Michelin มุ่งขับเคลื่อนการขยายตัวอย่างแข็งแกร่งไปยัง "ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับยาง" และ "ธุรกิจอื่นนอกเหนือจากยาง" รวม 5 กลุ่มธุรกิจ ได้แก่ Services & Solutions (บริการ และโซลูชัน), Flexible Composites (วัสดุคอมโพสิทชนิดยืดหยุ่น), Medical Devices (เครื่องมือแพทย์), Metal 3D Printing (การพิมพ์โลหะ 3 มิติ) และ Hydrogen Mobility (การสัญจรด้วยพลังงานไฮโดรเจน)
· สำหรับธุรกิจบริการ และโซลูชัน กลุ่ม Michelin กำลังขยายโซลูชันด้านธุรกิจเดินรถขนส่งให้มีความหลากหลาย และครอบคลุมมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการนำวัตถุอัจฉริยะ (Smart Objects) และข้อมูลที่จัดเก็บได้มาเพิ่มคุณค่าให้เกิดประโยชน์ยิ่งขึ้น
· Michelin ตั้งเป้ารุกขยายธุรกิจอย่างจริงจังในตลาดวัสดุคอมโพสิทชนิดยืดหยุ่น [Conveyor (อุปกรณ์ลำเลียง), Belt (สายพาน), Coated Fabrics (ผ้าเคลือบ), Seals (ซีลปิดผนึก) ฯลฯ] ที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว ด้วยกลยุทธ์การเข้าซื้อ และควบรวมกิจการเพื่อเสริมสร้างคุณค่า รวมทั้งการบ่มเพาะธุรกิจใหม่ๆ
· เครื่องมือแพทย์ เป็นกลุ่มธุรกิจที่มีโอกาสเติบโตต่อเนื่องในอีกหลายปีข้างหน้า
· ในด้านการพิมพ์โลหะ 3 มิติ กลุ่ม Michelin ได้พัฒนาความเชี่ยวชาญที่จะช่วยส่งเสริมศักยภาพของ Add Up (แอดอัพ) ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่าง Michelin กับ Fives (ไฟฟ์ส) ในการทำตลาดโซลูชันหลากหลายรูปแบบตามความต้องการของผู้ผลิตเฉพาะราย
· สำหรับการสัญจรด้วยพลังงานไฮโดรเจน กลุ่ม Michelin มุ่งเป็นผู้นำระดับโลกด้านระบบเซลล์เชื้อเพลิงไฮโดรเจนผ่าน Symbio ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่าง Michelin กับ Faurecia
ตั้งเป้าบรรลุหมุดหมายแรกแห่งความสำเร็จในปี 2566
ภายในงาน Capital Markets Day Michelin ยังได้นำเสนอปัจจัยขับเคลื่อนขีดความสามารถทางการแข่งขันเชิงอุตสาหกรรมหลายประการ ซึ่งจะช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายเมื่อคำนึงถึงภาวะเงินเฟ้อแล้ว (Net of Inflation) ได้สูงถึง 80 ล้านยูโร/ปี ระหว่างปี 2563-2566 ยิ่งกว่านั้น ยังจะช่วยลดค่าใช้จ่ายในการขาย ค่าใช้จ่ายทั่วไป และค่าใช้จ่ายทางธุรการ (SG&A) ในธุรกิจยาง เมื่อคำนึงถึงภาวะเงินเฟ้อแล้ว ลงได้ 65 ล้านยูโร ภายในปี 2566 และ 125 ล้านยูโร ภายในปี 2568
Yves Chapot ได้ประกาศเป้าหมายทางการเงินของกลุ่ม Michelin ในปี 2566 โดยคาดการณ์ว่าในปีดังกล่าวจะมียอดขายอยู่ที่ราว 24.5 พันล้านยูโร, รายได้จากการดำเนินงานตามส่วนงาน (Segment Operating Income) อยู่ที่มากกว่า 3.3 พันล้านยูโร, กระแสเงินสดอิสระเชิงโครงสร้าง (Structural Free Cash Flow) [ยอดรวมปี 2565 และ 2566] อยู่ที่ 3.3 พันล้านยูโร และอัตราผลตอบแทนจากเงินทุน (Return On Capital Employed: ROCE) อยู่ที่ร้อยละ 10.5
นอกจากนี้ กลุ่ม Michelin ยังได้เริ่มคำนวณต้นทุนของผลกระทบภายนอกเชิงลบ (Negative Externalities) บางประการ อาทิ ปริมาณการปล่อยแกสคาร์บอนไดออกไซด์ รวมทั้งปริมาณการใช้น้ำ และสารทำละลาย ทั้งยังมุ่งมั่นที่จะลดผลกระทบเหล่านั้นลงราวร้อยละ 10 ภายในปี 2566
อีกทั้งกลุ่ม Michelin ยังได้ตัดสินใจปรับนโยบายเงินปันผล โดยกำหนดเป้าหมายใหม่ในปี 2564 ที่จะจ่ายเงินปันผลในสัดส่วนร้อยละ 50 ของรายได้ก่อนหักค่าใช้จ่ายที่ไม่ได้เกิดขึ้นเป็นประจำ (Non-Recurring Items)
ภายในงาน Menegaux ได้เปิดเผยว่า “ภายใต้แผนกลยุทธ์ใหม่ Michelin in Motion กลุ่ม Michelin ได้ตั้งเป้าหมายการเติบโตใน 10 ปีข้างหน้าเอาไว้สูงมาก ผมเชื่อว่าความผูกพันของพนักงานต่อองค์กร และศักยภาพด้านนวัตกรรมของทีมงานจะช่วยให้เรารักษาสมดุลระหว่างผลประกอบการทางธุรกิจที่ยั่งยืน, การพัฒนาพนักงานอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งพันธกิจต่อผืนโลก และชุมชนที่เราเข้าไปดำเนินงานเอาไว้ได้อย่างดี แม้จะยังคงยึดมั่นในจิตวิญญาณดั้งเดิมของเรา แต่ภายในปี 2573 ภาพรวมธุรกิจของกลุ่ม Michelin จะเปลี่ยนไปอย่างมีนัยสำคัญ โดยเราจะเร่งขยายกิจการไปยังธุรกิจใหม่ๆ ที่มีมูลค่าเพิ่มสูง ทั้งในตลาดที่เกี่ยวข้องกับยาง และตลาดอื่นนอกเหนือจากยาง ศักยภาพในการปรับตัวเพื่อนำเสนอสิ่งใหม่ได้ตลอดเวลาเช่นนี้ไม่เพียงเป็นคุณสมบัติที่เสริมความแข็งแกร่งให้กับ Michelin มานานกว่า 130 ปี แต่ยังช่วยสร้างความมั่นใจให้กับเราในการก้าวสู่อนาคตด้วย”
Chapot ยังได้กล่าวเสริมว่า “ท่ามกลางสถานการณ์วิกฤติในปัจจุบัน และภาวะเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอน Michelin ได้แสดงให้เห็นถึงศักยภาพพื้นฐานในการปรับตัวได้ดีต่อปัจจัยแวดล้อมต่างๆ ตลอดจนการมีโมเดลธุรกิจที่เหมาะสม สำหรับ Michelin in Motion ซึ่งเป็นแผนกลยุทธ์ใหม่ของ Michelin จะช่วยให้กลุ่ม Michelin มีแนวทางในการขับเคลื่อนการเติบโตรูปแบบใหม่ๆ และลดผลกระทบภายนอกเชิงลบหลักๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ Michelin จะพัฒนาการดำเนินธุรกิจด้านยางอย่างต่อเนื่องควบคู่ไปกับการดำเนินธุรกิจใหม่ๆ ร่วมด้วย โดยมุ่งเน้นการรักษาสถานะงบดุล และกำไรขั้นต้นให้แข็งแกร่ง”
สรุปเป้าหมายที่กำหนดไว้สำหรับปี 2573
เป้าหมาย |
ดัชนีชี้วัด
|
ปี 2573 |
กำหนดค่ามาตรฐานทั่วโลกสำหรับอัตรา ความผูกพันของพนักงานต่อองค์กร |
อัตราความผูกพันของพนักงานต่อองค์กร (Engagement Rate) |
>85 % |
กำหนดค่ามาตรฐานทั่วโลกสำหรับความปลอดภัยในที่ทำงาน |
อัตราการเกิดอุบัติเหตุจากการทำงาน (Total Case Incident Rate: TCIR)(1) |
<0.5 |
กำหนดมาตรฐานด้านความหลากหลายและการมีส่วนร่วมของพนักงาน |
ดัชนีด้านความหลากหลาย และการมี ส่วนร่วม (IMDI)(2) |
80/100 คะแนน |
นำภาคอุตสาหกรรมสร้างคุณค่าให้แก่ลูกค้า |
ดัชนีชี้วัดความพึงพอใจของพันธมิตรธุรกิจ (Partner Net Promoter Score: Partner NPS)(3) ดัชนีชี้วัดความพึงพอใจของผู้ใช้สินค้า (End Customer Net Promoter Score: Partner NPS)(3) |
เพิ่มขึ้น 10 จุด จากปี 2563
เพิ่มขึ้น 5 จุด จากปี 2563 |
ขับเคลื่อนการเติบโตของยอดขายอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะในส่วนงานที่ไม่เกี่ยวข้องกับการผลิต และจัดจำหน่ายยาง |
อัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปีของยอดขาย ระหว่างปี 2566-2573 สัดส่วนยอดขายของทุกกลุ่มธุรกิจรวมกัน ยกเว้นธุรกิจผลิต และจัดจำหน่ายยาง |
5 %
ระหว่าง 20 % ถึง 30 % |
สร้างคุณค่าอย่างต่อเนื่อง |
อัตราผลตอบแทนจากเงินทุน (Return On Capital Employed: ROCE)(4) |
>10.5 % |
รักษาความแข็งแกร่งของแบรนด์ Michelin |
ค่าความสามารถในการอยู่รอดของแบรนด์ (Brand Vitality Quotient)(5) |
เพิ่มขึ้น 5 จุด จากปี 2564 |
รักษาความเร็วในการนำเสนอนวัตกรรมด้านผลิตภัณฑ์ และบริการ |
ดัชนีความสามารถในการอยู่รอดของผลิตภัณฑ์ และบริการที่นำเสนอ (Product/Offers Vitality Index)(6) |
>30 % |
บรรลุการปล่อยแกสคาร์บอนไดออกไซด์เป็นศูนย์ในการผลิต และการใช้พลังงานภายในปี 2593 |
ปริมาณการปล่อยแกสคาร์บอนไดออกไซด์จากกิจกรรมประเภทที่ 1 และ 2 |
ลดลง 50 % จากปี 2553 |
ช่วยให้บรรลุเป้าหมายการปล่อยแกสคาร์บอนไดออกไซด์เป็น 0 ในด้านการ ใช้งาน |
ประสิทธิภาพพลังงานของผลิตภัณฑ์ (Products Energy Efficiency) (จากกิจกรรมประเภทที่ 3) |
เพิ่มขึ้น 10 % จากปี 2563 |
กำหนดค่ามาตรฐานทั่วโลกสำหรับผล กระทบต่อสิ่งแวดล้อมที่เกิดจากโรงงานผลิต |
ดัชนีผลการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อมในเชิงอุตสาหกรรม (I-MEP)(7) |
ลดลง 1 ใน 3 จากปี 2563 |
ดูแลให้มั่นใจว่าผลิตภัณฑ์ยางผลิตขึ้นจากวัสดุที่ยั่งยืนทั้งหมด |
สัดส่วนวัสดุที่ยั่งยืน (Sustainable Materials Rate) |
40 % |
(1) อัตราการเกิดอุบัติเหตุจากการทำงาน (Total Case Incident Rate: TCIR) คือ จำนวนอุบัติเหตุ และกรณีการเจ็บป่วยจากการทำงาน ต่อการทำงาน 200,000 ชม. (2) IMDI ย่อมาจาก Diversities and Inclusion Management Indicator
(3) ในปี 2564 จะมีการจัดทำตัวบ่งชี้ประกอบ (Composite Indicator) 2 ประเภท ได้แก่
- ดัชนีชี้วัดความพึงพอใจของผู้ใช้สินค้า (End Customer Net Promoter Score: Partner NPS) ซึ่งเป็นค่าเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักของ ลูกค้ากลุ่มธุรกิจ และลูกค้ากลุ่มผู้บริโภค
- ดัชนีชี้วัดความพึงพอใจของพันธมิตรธุรกิจ (Partner Net Promoter Score: Partner NPS) ซึ่งเป็นค่าเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักของ พันธมิตรธุรกิจกลุ่มตัวแทนจำหน่าย และพันธมิตรธุรกิจกลุ่มโรงงานประกอบรถยนต์ (OEMs)
(4) การคำนวณอัตราผลตอบแทนจากเงินทุนโดยรวม (Consolidated ROCE) จะนำค่าความนิยม (Goodwill), สินทรัพย์ที่ไม่ใช่ตัวเงิน (Acquired Intangible Assets) และหุ้นในบริษัทที่ถูกลงทุนด้วยวิธีส่วนได้เสีย (Shares in Equity-Accounted Companies) มาคำนวณรวมเป็นสินทรัพย์ทางเศรษฐกิจ (Economic Assets) ทั้งนี้ กําไรสุทธิจากการดําเนินงานหลังหักภาษี (Net Operating Profit After Tax: NOPAT) ครอบคลุมค่าตัดจำหน่ายสินทรัพย์ที่ไม่ใช่ตัวเงิน และผลกำไรจากบริษัทที่ถูกลงทุนด้วยวิธีส่วนได้เสีย [ ดูรายละเอียดเพิ่มเติมในหมวดที่ 3.6 ของคู่มือผลการดำเนินงานประจำปี 2563 ได้ที่: www.michelin.com ]
(5) เป็นตัวบ่งชี้ประกอบที่ใช้เพื่อวัดความสามารถในการอยู่รอดของแบรนด์
(6) สัดส่วนยอดขายที่ได้จากสินค้า และบริการซึ่งทำตลาดในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา
(7) ดัชนีผลการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อมในเชิงอุตสาหกรรม (Industrial Michelin Environmental Performance: I-MEP) จะถูกนำมาใช้ติดตามผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมที่เกิดจากการดำเนินงานด้านการผลิตของกลุ่ม Michelin ตลอดระยะเวลา 10 ปีข้างหน้า โดยจะช่วยเข้าใจผลกระทบเหล่านี้ได้ง่ายขึ้นด้วยการเน้นประเด็นสำคัญ 5 ด้าน ได้แก่ การใช้พลังงาน, การปล่อยแกสคาร์บอนไดออกไซด์, การใช้สารทำละลายอินทรีย์, การดึงน้ำจากแหล่งน้ำต่างๆ ขึ้นมาใช้ในการผลิต และการผลิตขยะ อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ I-MEP ได้จากบันทึกระเบียบวิธีวิจัย (Methodological Note) ในหมวดที่ 4 ของ URD ประจำปี 2563
สรุปเป้าหมายในปี 2566
ยอดขายปี 2566
|
ราว 24.5 พันล้านยูโร (อัตราแลกเปลี่ยน ณ เดือนมกราคม 2564) |
รายได้จากการดำเนินงานตามส่วนงาน (Segment Operating Income) ปี 2566 กำไรจากการดำเนินงานตามส่วนงาน (Segment Operating Margin) |
มากกว่า 3.3 พันล้านยูโร (อัตราแลกเปลี่ยน ณ เดือนมกราคม 2564) 13.5 % |
กำไรจากการดำเนินงานตามส่วนงาน ปี 2566 ของกลุ่มผลิตภัณฑ์ประเภทยางรถยนต์และการจัดจำหน่าย |
>12 % |
กำไรจากการดำเนินงานตามส่วนงาน ปี 2566 ของกลุ่มผลิตภัณฑ์สำหรับการขนส่งทางบกและการจัดจำหน่าย |
>10 % |
กำไรจากการดำเนินงานตามส่วนงาน ปี 2566 ของกลุ่มผลิตภัณฑ์เฉพาะทาง และการจัดจำหน่าย |
>17 % |
กระแสเงินสดอิสระเชิงโครงสร้างรวมทั้งหมด8 ระหว่างปี 2565-2566 |
3.3 พันล้านยูโร |
อัตราผลตอบแทนจากเงินทุน ปี 2566 |
>10.5 % |
อัตราการเติบโตเฉลี่ยของยอดขาย (ไม่รวมกลุ่มผลิตภัณฑ์ยาง และการจัดจำหน่าย) ระหว่างปี 2562-2566 |
5 % |
ประสิทธิภาพอุตสาหกรรม ปี 2563-2566 |
ประหยัดค่าใช้จ่าย 80 ล้านยูโร/ปี เมื่อคำนึงถึงภาวะเงินเฟ้อแล้ว |
การลดค่าใช้จ่ายในการขาย ค่าใช้จ่ายทั่วไป และค่าใช้จ่ายทางธุรการ (SG&A) ของกลุ่มธุรกิจยาง จนถึงปี 2566 |
ประหยัดค่าใช้จ่าย 65 ล้านยูโร เมื่อคำนึงถึงภาวะเงินเฟ้อแล้ว |
ต้นทุนของผลกระทบภายนอกเชิงลบ ปี 2562 ต้นทุนของผลกระทบภายนอกเชิงลบ ปี 2566 |
330 ล้านยูโร 300 ล้านยูโร |
อัตราเงินปันผลต่อกำไร ตั้งแต่ปี 2564 เป็นต้นไป |
50 % ก่อนหักค่าใช้จ่ายที่ไม่ได้เกิดขึ้นเป็นประจำ |
(8) กระแสเงินสดอิสระเชิงโครงสร้าง คือ กระแสเงินสดอิสระก่อนเข้าซื้อกิจการที่ถูกปรับให้รองรับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงราคาวัตถุดิบในบัญชีเจ้าหนี้การค้า (Trade Payables), บัญชีลูกหนี้การค้า (Trade Receivables) และบัญชีสินค้าคงคลัง (Inventories)