BMW ครองอันดับ 1 รถพรีเมียม

บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ฉลองอีกหนึ่งความสำเร็จครั้งใหญ่ หลังออกตัวอย่างร้อนแรงด้วยยอดขายที่สูงเป็นสถิติใหม่ในไตรมาสแรกของปี 2564 พร้อมครองตำแหน่งผู้นำอันดับ 1 ในตลาดรถยนต์พรีเมียมไทยต่อเนื่อง และสานต่อความสำเร็จที่ผ่านมาในปี 2563 แม้จะต้องเผชิญหน้ากับปีที่ท้าทายที่สุดในประวัติศาสตร์ โดยระหว่างเดือนมกราคม-มีนาคม 2564 บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ได้สร้างการเติบโตด้านยอดขายอย่างแข็งแกร่งในทุกเซกเมนท์ ด้วยยอดส่งมอบรถยนต์ BMW (บีเอมดับเบิลยู) และ Mini (มีนี) รวม 2,773 คัน เพิ่มขึ้น 42 % จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า ส่งท้ายไตรมาสแรกด้วยส่วนแบ่งตลาดสูงสุดในเซกเมนท์พรีเมียมที่ 48.7 % อีกทั้งยังทุบสถิติการเติบโตในระดับ 3 หลักจากรถยนต์ในตระกูล M (เอม) รถยนต์พลัก-อิน ไฮบริด และกลุ่มลูกค้าองค์กร ขณะที่เซกเมนท์รถหรู และรถยนต์มือสองก็สร้างผลงานอันโดดเด่นในไตรมาสแรกเช่นกันด้วยอัตราการเติบโตในระดับ 2 หลัก ต่อเนื่องจากศักราช 2563 แห่งความสำเร็จ บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ได้ประกาศความสำเร็จด้านยอดขายอีกครั้งในไตรมาสแรกของปี 2564 ด้วยยอดส่งมอบรถยนต์ BMW รวม 2,533 คัน เพิ่มขึ้น 41 % จากปีก่อนหน้า สร้างสถิติสูงสุดครั้งใหม่ในประวัติศาสตร์ของบริษัทฯ โดยเป็นผลมาจากความต้องการที่เพิ่มขึ้นในเซกเมนท์รถหรูระดับไฮเอนด์ ไม่ว่าจะเป็น BMW 7-Series (บีเอมดับเบิลยู ซีรีส์-7), 8-Series (ซีรีส์ 8), X7 (เอกซ์ 7) และ I8 (ไอ 8) ซึ่งเติบโตขึ้น 25.5 % จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า ขณะที่อัตราการเติบโตแบบก้าวกระโดดในระดับ 3 หลักของรถยนต์ในตระกูล M ได้พุ่งสูงขึ้นถึง 220 % จากไตรมาสแรกของปีที่ผ่านมา และเป็นเครื่องสะท้อนถึงความสนใจของนักขับคนไทยในยานยนต์สมรรถนะสูงได้เป็นอย่างดี ความต้องการรถยนต์พลังงานไฟฟ้าในตลาดยานยนต์ไทยยังคงทะยานสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน จึงส่งผลให้รถยนต์พลัก-อิน ไฮบริดของ BMW มียอดการส่งมอบที่สูงขึ้นถึง 140 % ขณะที่ บีเอ็มดับเบิลยู ไฟแนนเชียล เซอร์วิส ประเทศไทยฯ ก็ได้ช่วยสร้างสรรค์แคมเปญทางการเงินเพื่อสนับสนุนการขายรถยนต์ใหม่รวมไปถึงรถยนต์ที่ผ่านการใช้งานแล้ว ช่วยให้ยอดขายรถยนต์มือสองในโปรแกรม BMW Premium Selection ในไตรมาสแรกของปีนี้ เติบโตขึ้น 44 % และยอดขายในกลุ่มลูกค้าองค์กรก็เพิ่มขึ้นถึง 124 % เมื่อเทียบกับไตรมาสแรกของปี 2563 ที่ผ่านมา ซึ่งความสำเร็จทั้งหมดนี้ ล้วนเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลบวกต่อความสำเร็จในภาพรวมของไตรมาสแรกในปี 2564 นี้ ด้าน Mini ประเทศไทย ก็ได้รายงานอีกหนึ่งความสำเร็จครั้งประวัติศาสตร์ด้วยยอดส่งมอบ 240 คัน ทำสถิติยอดขายประจำไตรมาสแรกสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โตขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้าถึง 57 % ขณะที่ BMW Motorrad (บีเอมดับเบิลยู มอเตอร์ราด) ก็รักษาผลงานอันแข็งแกร่งอย่างต่อเนื่องแม้จะต้องประสบกับความท้าทายในไตรมาสแรกที่ผ่านมา ด้วยยอดส่งมอบรถมอเตอร์ไซค์รวม 281 คัน

บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย	ยอดการส่งมอบในไตรมาสที่ 1 ปี 2564	อัตราการเติบโตเมื่อเทียบกับ ไตรมาสเดียวกันของปีที่ผ่านมา
BMW	2,533	+41 %
Mini	240	+57 %
BMW และ Mini	2,773	+42 %
BMW Motorrad	281	-3 %

สำหรับในระดับโลก ยอดขายของทุกแบรนด์ภายใต้ บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ได้เติบโตขึ้นทั่วโลกในไตรมาสแรกของปี 2564 โดยได้ส่งมอบรถยนต์ BMW, Mini และ Rolls-Royce (โรลล์ส-รอยศ์) ทั่วโลกรวม 636,606 คัน เพิ่มขึ้น 33.5 % จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า ซึ่งอัตราการเติบโตที่แข็งแกร่งนี้เป็นผลสะท้อนมาจากความต้องการรถยนต์พลังงานไฟฟ้า และรถยนต์พลัก-อิน ไฮบริดที่เพิ่มขึ้นทั่วโลก ด้วยอัตราการเติบโตปีต่อปีถึง 129.8 % จากยอดส่งมอบรถยนต์พลังงานไฟฟ้าล้วน และรถยนต์พลัก-อิน ไฮบริดในภูมิภาคต่างๆ รวม 70,207 คัน ส่วนรถมอเตอร์ไซค์ และสกูเตอร์ BMW Motorrad มียอดส่งมอบรวม 42,592 คันทั่วโลกในไตรมาสแรก โตขึ้น 22.5 % เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า สร้างสถิติยอดขายประจำไตรมาสแรกที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์ อเลกซันเดร์ บาราคา ประธาน บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย กล่าวว่า ปี 2563 นับเป็นปีแห่งประวัติศาสตร์ของ บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ที่ได้ก้าวขึ้นมาสู่ตำแหน่งผู้นำของตลาดยานยนต์พรีเมียมไทย ด้วยความมุ่งมั่นที่ผู้จำหน่าย และพนักงานทุกคนทุ่มเทให้กับ บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทยตลอดมา ในปีนี้เราก็ได้สร้างความสำเร็จที่จะต้องจารึกในหน้าประวัติศาสตร์ของบริษัทฯ อีกครั้งในฐานะผู้นำอันดับ 1 ของตลาดยานยนต์พรีเมียมไทยในไตรมาสแรกของปีนี้ ส่วนแบ่งตลาดของเราซึ่งนำอยู่ที่ 48.7 % เป็นข้อพิสูจน์ว่าไม่ว่าจะในสถานการณ์ใด บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย จะยังคงยึดมั่นในภารกิจเพื่อสร้างสรรค์นวัตกรรมสำหรับความต้องการทุกด้านของผู้บริโภค โดยเราได้นำเสนอผลิตภัณฑ์ และบริการที่เปี่ยมด้วยความยืดหยุ่นอย่างรอบด้าน ควบคู่กับการตอบโจทย์ด้านไลฟ์สไตล์ที่เปลี่ยนแปลงไปของลูกค้าในยุคนี้ ภายในเวลาเพียง 3 เดือนที่ผ่านมา เราได้ส่งรถยนต์กว่าสิบรุ่นสู่ตลาดประเทศไทย ซึ่งในปัจจุบันนี้ เรานำเสนอเทคโนโลยีที่ครอบคลุมทั้งระบบขับเคลื่อนแบบดีเซล เบนซิน พลัก-อิน ไฮบริด และระบบไฟฟ้าพลังงานแบตเตอรี BEV ตลอดไปจนถึงรถยนต์สปอร์ทสมรรถนะสูงอย่างตระกูล M “สำหรับรถยนต์ BMW เราได้เปิดตัว BMW Series-5 (บีเอมดับเบิลยู ซีรีส์-5), BMW X7 XDrive30 D M Sport (บีเอมดับเบิลยู เอกซ์ 7 เอกซ์ดไรฟ 30 ดี เอม สปอร์ท), BMW 330LI M Sport (บีเอมดับเบิลยู 330 แอลไอ เอม สปอร์ท), BMW M340I XDrive (บีเอมดับเบิลยู เอม 340 ไอ เอกซ์ดไรฟ), BMW M4 Competition Coupe (บีเอมดับเบิลยู เอม 4 คอมเพทิชัน คูเป), และยังได้เปิดตัวรุ่น M Performance Edition (เอม เพอร์ฟอร์มานศ์ เอดิชัน) สำหรับ BMW X3 XDrive20D M Sport (บีเอมดับเบิลยู เอกซ์ 3 เอกซ์ดไรฟ 20 ดี เอม สปอร์ท), BMW X4 XDrive20D M Sport X (บีเอมดับเบิลยู เอกซ์ 4 เอกซ์ดไรฟ 20 ดี เอม สปอร์ท เอกซ์) และ BMW 330 E M Sport (บีเอมดับเบิลยู 330 อี เอม สปอร์ท) ส่วน Mini ก็ได้สร้างความเร้าใจในสไตล์ที่ไม่ซ้ำใครด้วย Mini Cooper s Countryman (มีนี คูเพอร์ เอส คันทรีแมน) , Mini John Cooper Works  GP Inspired Edition (มีนี จอห์น คูเพอร์ เวิร์คส์ จีพี อินสไปร์ เอดิชัน) , Mini John Cooper Works Countryman (มีนี จอห์น คูเพอร์ เวิร์คส์ คันทรีแมน) และ Mini Paddy Hopkirk Edition (มีนี แพดดี ฮอพเคิร์ค เอดิชัน) ซึ่งเพิ่งเผยโฉมเซอร์ไพรส์แฟนๆ ไปในงาน บางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์ โชว์ที่ผ่านมา ขณะที่ บีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด ประเทศไทย ก็ได้สานต่อตำนานอันเป็นเอกลักษณ์สุดคลาสสิคด้วย BMW R18 Classic First Edition นอกจากนี้ เรายังได้ต่อยอดประสบการณ์ด้านดิจิทอลด้วยแอพ My BMW และ Mini App เพื่อผสานการเชื่อมต่อระหว่างผู้ขับขี่ และรถยนต์ผ่านสมาร์ทโฟนได้อย่างสะดวกสบายยิ่งขึ้น “และที่สำคัญที่สุด ผมต้องขอขอบคุณลูกค้าของ บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ทุกท่าน ที่ได้ให้ความไว้วางใจในทุกแบรนด์ของเราตลอดมา รวมถึงผู้จำหน่ายอย่างเป็นทางการทุกรายของเรา ที่เป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญในทุกความสำเร็จ ผมมั่นใจว่าเราจะร่วมกันเดินต่อไปบนเส้นทางนี้ได้อีกยาวไกล เพื่อสานต่อ และปูทางสู่ความสำเร็จในตลาดยานยนต์พรีเมียมไทยอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปีนี้” บาราคากล่าว