รายงานข่าวจากเยอรมนี ระบุว่า Audi ยืนยันรถรุ่นใหม่ๆ ในอนาคต ยังคงใช้กระจังหน้าแบบ Single frame แบบเดียวกันกับในปัจจุบัน ซึ่งจะรวมทั้งรถไฟฟ้าด้วยสำหรับรถยนต์ทุกยี่ห้อ ต่างมีแนวทางการออกแบบรถยนต์ที่แตกต่างกันออกไป แต่สิ่งหนึ่งที่คิดเหมือนกัน คือ การออกแบบกระจังหน้าให้เป็นเอกลักษณ์ ชนิดที่วิ่งไปไหนแล้ว ผู้คนจะจดจำได้ง่ายขึ้น เหมือนกับค่าย BMW ที่ออกแบบกระจังหน้าเป็นทรงไตคู่ ขณะที่ Alfa Romeo ใช้กระจังหน้าทรงสามเหลี่ยม สำหรับค่ายญี่ปุ่น Lexus ก็มาในแนว Spindle Grille ที่รถจะวิ่งไปทางไหน ผู้คนก็สามารถจดจำได้จากการออกแบบกระจังหน้า แต่รถไฟฟ้าไม่จำเป็นต้องมีพื้นที่รับกระแสลมขนาดใหญ่อีกต่อไป ค่ายรถยนต์บางค่าย ก็จะเปลี่ยนแนวการออกแบบด้านหน้าออกไป ไม่เหมือนกับการผลิตรถเครื่องยนต์สันดาปภายในเดิม ส่วน Audi ยืนยันว่า จากรถต้นแบบ ยานยนต์ไร้คนขับ ที่รูปลักษณ์เหมือนกับรถจากอวกาศ ยังคงใช้กระจังหน้าในลักษณะเดิม ในแบบ Single frame โดยวิศวกรผู้ออกแบบ ระบุว่า การเปลี่ยนแบบกระจังหน้าของรถไฟฟ้า จะทำให้รู้สึกแตกต่างไปจากคู่แข่ง ค่าย BMW ก็มีแนวคิดในลักษณะเดียวกันนี้ ยังคงปรับกระจังหน้า ในรูปทรงพื้นฐานของไตคู่ (Kidney Grilles) พร้อมตกแต่งด้วยโทนสีน้ำเงิน ที่ยังมองออกว่าเป็นกระจังหน้าของ BMW สำหรับรถไฟฟ้าต้นแบบ Audi A6 e-tron แนวการออกแบบกระจังหน้าในลักษณะของ Single frame เช่นเดิม ขณะที่ค่ายรถยนต์อื่น บางค่ายก็เลือกใช้การเพิ่มแนวเส้นสีบนตัวถัง อาทิ Tesla Model S ก็ใช้วิธีการเปลี่ยนสีตัวถัง พร้อมเดินเส้นสายให้แตกต่างจากรถปกติออกไป แต่สำหรับรถไฟฟ้ายังต้องการรับกระแสลมเพื่อเข้าไปช่วยระบายความร้อนให้กับชุดแบทเตอรี, มอเตอร์ และแผงคอนเดนเซอร์เครื่องปรับอากาศ จึงต้องหาวิธีการที่แปลกตาออกไป Audi เริ่มแนะนำกระจังหน้าแบบ Single frame ในรถต้นแบบ Audi A8 เมื่อปี 2547 และยังคงใช้อยู่จนถึงปัจจุบัน โดยในรถไฟฟ้า ก็เจาะรู ปรับให้เป็นร่องรับลมเพื่อช่วยระบายความร้อนของอุปกรณ์ที่จำเป็น แต่รูปทรงยังคงเดิม