ธุรกิจ
Porsche เฉลิมฉลอง 20 ปี Cayenne
Detlev Von Platen สมาชิกคณะกรรมการบริหาร ผู้กำกับดูแลส่วนงานขาย และการตลาด ของ Porsche AG กล่าวว่า Ferry Porsche ได้ทำนายเอาไว้เมื่อปี 1989 ว่า หากเราสร้างรถยนต์ออฟโรดขึ้นมาสักคัน ตามมาตร ฐานคุณภาพของเรา และติดตราสัญลักษณ์ Porsche ลงบนฝากระโปรงหน้า ผู้คนจะซื้อรถคันนี้ไปใช้งาน คำกล่าวนี้ได้รับการพิสูจน์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว นับตั้งแต่ปี 2002 และ Porsche Cayenne คือ หนึ่งในผลลัพธ์แห่งความสำเร็จที่เป็นกระแสของอุตสาหกรรมยานยนต์ทั่วโลกส่งผลให้ Porsche Cayenne มีบทบาทสำคัญกับแบรนด์ของเรามาโดยตลอด รถยนต์รุ่นนี้นำพากลุ่มลูกค้า และผู้ที่ชื่นชอบรายใหม่ๆ จากทุกมุมโลก ได้เข้ามาสัม ผัสกับแบรนด์ Porsche เป็นระยะเวลากว่า 20 ปี
ชตุทท์การ์ท-จากความมุ่งมั่นในการรักษาผลสำเร็จในเชิงเศรษฐศาสตร์ระยะยาว ย้อนกลับไปในช่วงกลางของทศวรรษ ยุค 1990 ช่วงเวลานั้น Porsche เริ่มต้นมีเหตุการณ์ให้ต้องตัดสินใจครั้งสำคัญ บริษัทได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากสถานการณ์ไม่สู้ดีจากวิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดขึ้น รวมถึงยอดจำหน่ายรถยนต์ที่มีเพียง 23,060 คันในปีงบประมาณ 1991-1992 ซึ่ง Porsche ได้เริ่มต้นหาหนทางที่จะหลุดพ้นจากวิกฤตในครั้งนั้นด้วยการเปิดตัว Porsche Boxster ในปี 1996 แต่ทีมผู้บริหารเล็งเห็นว่า การมีเพียงรถสปอร์ทระดับตำนาน Porsche 911 และโรดสเตอร์เครื่องยนต์วางกลางคันใหม่ จะไม่สามารถนำพาบริษัทให้รอดไปถึงอนาคตได้ จึงได้เริ่มต้นวางแผนการสำหรับเปิดตัว "Porsche คันที่ 3" แต่ด้วยในระยะแรกยังไม่ได้ถูกจัดให้เป็นหนึ่งในเซกเมนท์ใดของแบรนด์ Porsche
จากคำแนะนำของหน่วยงานด้านการขายในสหรัฐอเมริกา บริษัทได้ตัดสินใจเลือกใช้เซกเมนท์ออฟโรด แทน MPV ให้แก่รถ Porsche Cayenne ซึ่งถือเป็นรถยนต์ที่กำลังได้รับความนิยมในพื้นที่แถบอเมริกาเหนือ และเป็นตลาดขนาดใหญ่ที่สุดของ Porsche ในขณะนั้น Wendelin Wiedeking ผู้บริหารสูงสุด หรือ CEO ได้ตั้งเป้าขยายไปในส่วนของทวีปเอเชียซึ่งถือเป็นตลาดใหม่อีกด้วย จากความมุ่งมันสู่ผลลัพธ์ที่เป็นเลิศตั้งแต่เริ่มต้น Porsche ไม่เพียงตั้งเป้าหมายที่จะสร้างสรรค์รถสปอร์ท SUV ในแนวทางของตนเองเท่านั้น แต่ยังมุ่งเน้นไปที่ความคุ้มค่าในระดับที่เหนือกว่ารถยนต์ออฟโรดของคู่แข่ง
ซึ่งภารกิจที่สำคัญในครั้งนี้ ถือได้ว่าเป็นความร่วมมือระหว่าง Volkswagen ภายใต้ชื่อโครงการ "Colorado" และถูกประกาศตัวอย่างเป็นทางการในเดือนมิถุนายนปี 1998 ซึ่ง Porsche Cayenne และ Volkswagen Touareg มีรูปแบบโครงสร้างที่เหมือนกัน แต่ในส่วนงานด้านสถาปัตยกรรมการออกแบบ เครื่องยนต์ จะถูกพัฒนาไปในทิศทางที่แตกต่างกันออกไปตามความชำนาญ และเชี่ยวชาญเฉพาะตัวของแต่ละผู้ผลิต รวมทั้งพัฒนาปรับแต่งช่วงล่างในแนวทางของตนเอง ซึ่งทาง Porsche เองมีหน้าที่รับผิดชอบในส่วนของการพัฒนาพแลทฟอร์มโครงสร้างที่ใช้ร่วมกัน ในพื้นที่สำนักงาน ณ เมือง Hemmingen และในส่วนของ Volkswagen รับหน้าที่จัดสรรกำลังการผลิตด้วยความเชี่ยวชาญ ซึ่งในปี 1999 ทาง Porsche เองตัดสินใจเลือกที่จะผลิต และประกอบรถยนต์รุ่นดังกล่าวที่โรงงานในเมือง Zuffenhausen ประเทศเยอรมนี แทนการนำไปผลิต และประกอบในประเทศเพื่อนบ้านรอบข้าง และจากนั้นทาง Porsche จึงก่อตั้งโรงงานแห่งใหม่ในเมือง Leipzig ซึ่งถูกเปิดดำเนินสายการผลิตอย่างเป็นทางการในเดือนสิงหาคมปี 2002 และทางด้านของ Volkswagen จะดำเนินการผลิตรถยนต์รุ่น Touareg โดยโรงงานของ Volkswagen เองในเมือง Bratislava ประเทศสโลวาเกีย รวมทั้งดำเนินการด้านสายงานการพ่นสีตัวถังรถ Porsche Cayenne ที่โรงงานแห่งนี้ด้วยเช่นกัน ส่วนสายงานการประกอบขั้นสุดท้ายของรถ Porsche ทั้งเจเนอเรชันแรก และ 2 จะถูกประกอบขึ้นที่แคว้น Saxony โดยใช้ชื่อรหัสเรียกว่า E1 และ E2 ตามลำดับ สำหรับรถ Porsche Cayenne ทั้ง 2 เจเนอชันนั้นล้วนผ่านการประกอบ และผลิตขึ้นในโรง งานที่เมือง Leipzig และต่อมาในปี 2017 ได้มีการเปิดตัวรถ Porsche Cayenne เจเนอเรชัน 3 (E3) โดยถูกประกอบ และผลิตขึ้นที่โรงงานในเมือง Osnabruck Porsche จึงได้ย้ายสายการผลิตรถรุ่น Cayenne ทั้งหมดกลับมาที่เมือง Bratislava ประเทศสโลวาเกีย เพื่อเปิดโอกาสให้โรงงานในเมือง Leipzig ได้เพิ่มกำลังการผลิตสำหรับการประกอบรถสปอร์ทซีดาน Porsche Panamera และรถสปอร์ท Compact SUV Porsche Macan
ที่สุดของรถสปอร์ทออฟโรด ด้วยสมรรถนะรอบด้านพร้อมความสะดวกสบายที่ครบครัน
ด้วยขนาดของตัวรถ ที่มีความกว้างขวางอย่างลงตัว ทำให้รถ Porsche Cayenne กลายเป็นที่สุดของรถประเภทออฟโรดสายพันธุ์แกร่งตอบโจทย์การเดินทางของทุกคนในครอบครัวได้อย่างดีเยี่ยม ด้วยสมรรถนะการขับขี่สไตล์สปอร์ทที่เป็นเอกลักษณ์อันโดดเด่นของรถ Porsche ทุกคัน ผนวกกับคุณลักษณะอันเฉพาะตัวของรถ Porsche Cayenne พร้อมมอบความสะดวกสบาย และอรรถประโยชน์ในระดับสปอร์ทหรูที่ครบครันมากกว่ารถ SUV ในระดับเดียวกันมานานกว่า 20 ปี ซึ่งรถ Porsche Cayenne เจเนอเรชันแรก (E1) ได้เริ่มต้นอย่างทรงพลังในแบบที่เราจะได้เห็นจาก Porsche มาพร้อมกับทางเลือกของเครื่องยนต์แบบ V8 2 พิกัด สำหรับรุ่น Cayenne S ติดตั้งเครื่องยนต์ขนาดความจุ 4.5 ลิตร ที่พัฒนาขึ้นใหม่ล่าสุด พร้อมพละกำลังความเร็วสูงสุดถึง 340 แรงม้า (250 กิโลวัตต์) ขณะที่ Cayenne Turbo กระชากใจด้วยความแรงที่ขยับขึ้นเป็น 450 แรงม้า (331 กิโลวัตต์) จากความจุกระบอกสูบเท่ากัน ทั้ง 2 รุ่นทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 242 และ 266 กม./ชม. ตามลำดับ ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่มีผลต่อลูกค้าผู้ที่หลงใหลในรถสปอร์ท ในความคาดหวังต่อการควบคุมระบบช่วงล่างชั้นเยี่ยม จากประสิทธิภาพการเข้าโค้งที่ถูกจัดการโดยระบบอีเลคทรอนิคส์ใหม่ล่าสุด ระบบ Porsche Traction Management (PTM) กระจายกำลังขับเคลื่อนระหว่างเพลาขับทั้ง 2 ข้างในอัตราส่วน 62:38 เมื่อขับขี่ในสภาวะปกติ ระบบขับเคลื่อนสามารถปรับเปลี่ยนอัตราการกระจายกำลังจากชุดคลัทช์ Multi-Plate ส่งต่อไปยังล้อหน้า และล้อหลังในอัตราเร่ง 0:100-100:0 เมื่อจำเป็น และเมื่อหลุดออกจากทางเรียบไปสู่เส้นทางออฟโรด ผู้ขับ ขี่ Porsche Cayenne สามารถเชื่อมั่นในชุด Low-Range Transfer Box ว่า จะยึดเกาะกับถนนได้เป็นอย่างดี ส่วนเฟืองท้าย Fully Locking Centre-Differential มีประสิทธิภาพในการป้องกันอาการล้อหมุนฟรี แม้ในขณะล้อลอยพ้นจากพื้น ด้วยขุมพลังแห่งสมรรถนะดังกล่าว จึงทำให้รถยนต์ออฟโรดคันแรกของ Porsche นั้นยอดเยี่ยม ไม่น้อยไปกว่ารถยนต์ออฟโรดของคู่แข่งในระดับเดียวกัน แม้กระทั่งในขั้นตอนการขับทดสอบระหว่างกระ บวนการพัฒนา
Cayenne เจเนอเรชันแรก (E1) นับเป็นรถยนต์รุ่นแรกของ Porsche ที่ได้รับการติดตั้งระบบ PASM ที่ถูกพัฒนาขึ้นใหม่ล่าสุด ทั้งนี้ระบบ Porsche Active Suspension Management จะทำหน้าที่ร่วมกับช่วงล่างแบบชุดถุงลม Air Suspension ซึ่งจะทำการแปรผันค่าแรงดันภายในถุงลมอย่างต่อเนื่อง โดยคำนวณจากสภาพของพื้นถนน และสไตล์การขับขี่รถยนต์ของผู้บังคับพวงมาลัย นอกจากนี้ช่วงล่างแบบชุดถุงลม Air Suspension ยังมีส่วนช่วยเสริมสมรรถนะด้านออฟโรดให้แก่รถ Porsche Cayenne ด้วยความสูงใต้ท้องรถถึง 21.7 ซม. ที่วัดได้จากช่วงล่างตามมาตรฐาน จะสามารถเพิ่มขึ้นสูงสุดได้ถึง 27.3 ซม. ด้วยประสิทธิภาพของระบบควบคุมระดับความสูงภายในชุดถุงลม Air Suspension ในช่วงต้นปี 2006 Porsche ได้ตอกย้ำถึงความเหนือชั้นในด้านสมรรถนะการขับขี่บนพื้นทางเรียบอีกครั้ง ด้วยการเปิดตัว Cayenne Turbo S ที่ได้รับความสนใจอย่างท่วมท้นจากพละกำลังเครื่องยนต์สูงสุดถึง 521 แรงม้า (383 กิโลวัตต์) จากขุมพลังความจุของเครื่องยนต์ถึง 4.5 ลิตร V8 เทอร์โบคู่ เหนือกว่ามาตรฐานที่ตั้งไว้ ณ เวลาในขณะนั้น
Michael Mauer หัวหน้าฝ่ายงานออกแบบ Porsche นิยาม และอธิบายถึงวิวัฒนาการการออกแบบรถ Porsche Cayenne ตั้งแต่รุ่นแรกเริ่ม จนมากลายมาเป็นรุ่น Cayenne เจเนอเรชันที่ 3 ในปัจจุบันนี้ไว้ว่า “มันคือ การสรรสร้าง เจียระไน และความประณีต” ซึ่งเป็นคำบรรยายที่เปรียบเปรยถึงข้อมูลทางเทคนิคในเชิงของการปรับสภาพด้านน้ำหนัก สมรรถนะได้อย่างเหมาะสม และชัดเจน โดยในรถเจเนอเรชัน 2 (E2) ได้ปรับใช้ชุดขับเคลื่อน Low-Range Transfer Box ด้วยระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ On-Demand All-Wheel-Drive ที่มาพร้อมระบบคลัทช์ Actively Controlled Multi-Plate ซึ่งยังคงใช้อยู่ในรุ่นปัจจุบันอีกด้วย นอกจากนี้ Porsche ยังนำระบบขับเคลื่อนแบบไฮบริด และพลัก-อิน ไฮบริด มาใช้ในตัวถังเจเนอเรชัน 2 (E2) สำหรับรุ่นนี้ได้รับการติดตั้งเฟืองท้าย Torsen Centre Differential บนเครื่องยนต์เดิมทุกขนาดความจุ และได้รับการปรับแต่งเพิ่มพละกำลังให้สูงขึ้น พร้อมอัตราการสิ้นเปลืองพลังงานที่ประหยัดขึ้นถึง 23 % รวมทั้งการตกแต่งภายในห้องโดยสาร ก็ได้รับการปรับดีไซจ์นด้วยการยกระดับความสูงของคอนโซลหน้าให้สะดวกต่อการใช้งานยิ่งขึ้น
Hans-Jurgen Wohler รองประธานฝ่าย Product Line SUV ในปี 2013-2020 ณ ขณะนั้น ได้พูดย้อนกลับไปถึงในช่วงยุคของการพัฒนา Cayenne เจเนอเรชันที่ 3 ไว้ว่า วัตถุประสงค์หลักในการพัฒนารุ่น E3 คือ การเสริมศักยภาพให้เหนือระดับไปอีกขั้น ด้วยการทำให้รถมีความสปอร์ทหรูหรามากยิ่งขึ้น เสริมด้วยการขับขี่ที่นุ่มนวลสะดวกสบาย แต่ยังคงรักษาประสิทธิภาพ และสมรรถนะในแบบของรถออฟโรดไว้ โดยมีการพัฒนาการขั้นพิเศษของระบบช่วงล่างแบบชุดถุงลม Three-Chamber Air Suspension และระบบช่วยเลี้ยวล้อหลัง Rear-Axle Steering เพื่อรุ่นนี้โดยเฉพาะ อีกทั้งโครงสร้างตัวถังอลูมิเนียมใหม่ ยังช่วยในการลดน้ำหนัก และเสริมประ สิทธิภาพในการขับขี่ให้ปราดเปรียวคล่องแคล่วอีกด้วย ซึ่งในรุ่น E3 นั้นก็ยังคงการติดตั้งระบบช่วยเหลือการขับขี่รูปแบบใหม่ให้แบบเต็มพิกัดเช่นเดิม รวมไปถึงแผงคอนโซลกลาง คือ ศูนย์รวมฟังค์ชันการใช้งานของระบบช่วยเหลือการขับขี่ทั้งหมด ยิ่งไปกว่านั้นรถสปอร์ท SUV รุ่นใหญ่นี้ ยังได้รับการอัพเกรดระบบติดต่อสื่อสาร อาทิ Smartphone Integration การเชื่อมต่อ Wi-Fi และ Bluetooth ไปพร้อมกับการเปิดตัวรถ Porsche Cayenne รุ่นที่ 3 ในปี 2017 และหลังจากนั้น Porsche จึงได้ยุติการทำการตลาดในส่วนของเครื่องยนต์ดีเซลทั้งหมด และหันไปมุ่งเน้นการพัฒนาเทคโนโลยีระบบขับเคลื่อนแบบพลัก-อิน ไฮบริด ซึ่งเป็นเป้าหมายสำคัญในการเปิดตัวรุ่นใหม่ล่าสุดของรถยนต์สปอร์ทเต็มรูปแบบอย่าง Cayenne Coupe ในช่วงฤดูใบไม้ผลิปี 2019 ได้อย่างโดดเด่น ด้วยแนวหลังคาที่ลาดลง มอบประสบการณ์การขับขี่ให้ความรู้สึกเดียวเสมือนการขับ Porsche 911
ยนตกรรมผู้นำสู่ยุคไฮบริด ยกระดับสมรรถนะระดับซูเพอร์สปอร์ท
ด้วยพลังงานไฟฟ้าเพียงอย่างเดียวของ Porsche Cayenne เจเนอเรชัน 3 รุ่นพลัก-อิน ไฮบริด สามารถทำความเร็วได้สูงสุดถึง 135 กม./ชม. และวิ่งได้ไกลถึง 44 กม. โดยไม่มีการปล่อยมลภาวะออกจากท่อไอเสียแม้แต่น้อย และอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงในช่วงทดสอบตามมาตรฐาน WLTP อยู่ที่ 24.3-32.2 กม./ลิตร หรือ 3.1-4.1 ลิตร/ระยะทาง 100 กม. ซึ่งขึ้นอยู่กับโหมดการขับขี่ที่ตั้งค่าไว้รวมถึงยางรถยนต์อีกด้วย สำหรับรุ่นไฮบริดที่ใช้แบทเตอรี High-Voltage ขนาด 17.9 กิโลวัตต์ชั่วโมง และมอเตอร์ไฟฟ้าขับเคลื่อนพละกำลัง 100 กิโลวัตต์ นอกจากจะมอบประสิทธิภาพให้แก่ตัวรถที่ดีแล้ว แต่ยังคงไว้ซึ่งสัมผัสแห่งประสบการณ์การขับขี่สไตล์สปอร์ทหรูที่ไม่เหมือนใคร โดยการนำเอานวัตกรรมเทคโนโลยีอันเปี่ยมไปด้วยสมรรถนะชั้นยอดของยนตกรรมไฮบริด จาก Porsche 918 Spyder กับสุดยอดรถซูเพอร์สปอร์ท ในสายการผลิตสามารถทำเวลาทดสอบต่อรอบสนามที่ Nurburgring-Nordschleife ได้เร็วที่สุดในขณะนั้นด้วยความเร็ว ความแรงในการขับเคลื่อนที่โดดเด่นด้วยระบบไฮบริด
Porsche Cayenne ที่ทรงพลังที่สุด คือ รุ่น Turbo S E-Hybrid ซึ่งเปิดตัวมาตั้งแต่ปี 2019 ที่พกพาพละกำลังรวมทุกระบบสูงสุดถึง 680 แรงม้า (500 กิโลวัตต์) เช่นเดียวกับรถยนต์พลัก-อิน ไฮบริดทุกคันจาก Porsche ซึ่งผู้ขับขี่รถสปอร์ทรุ่นนี้ สามารถใช้พลังไฟฟ้ามาเสริมแรงเร่งได้ในทุกโหมดการขับขี่ ตัวอย่างเช่น Cayenne Turbo S E-Hybrid นั้นมีความแรง ความเร็วรวมระยะได้ในระดับมหาศาลมากกว่าถึง 91.8 กก.-ม. หรือ 900 นิวตัน-เมตร พร้อมทะยานสู่ความเร็วนั้นได้ทันทีที่แตะคันเร่ง สามารถทำให้การออกตัวของรถสปอร์ท SUV รุ่นนี้จากความเร็ว 0-100 กม./ชม. ได้ภายใน 3.8 วินาทีเพียงเท่านั้น ซึ่งการใช้งานในชีวิตประจำวันที่หลากหลายรูปแบบ ผู้ขับขี่สามารถไว้วางใจกับโหมดการขับขี่อัจฉริยะ พร้อมสนุกสนานไปกับพละกำลังมหาศาลที่มาพร้อมความประหยัดในการใช้พลังงานได้สบายใจ
กลับไปในปี 2007 รากฐานของรถยนต์ไฟฟ้าในปัจจุบัน คือ รุ่นปรับโฉมของ Porsche Cayenne เจเนอเรชันแรก ซึ่งมีความใกล้เคียงกับรถยนต์ต้นแบบ Series-Production Concept Study ของ Cayenne S Hybrid ได้ถูกนำมาจัดแสดงในงานมหกรรมยานยนต์ IAA ซึ่ง Porsche แตกต่างจากผู้ผลิตรถยนต์รายอื่นที่สามารถสร้างความเชื่อมั่นในระบบ Power-Split Hybrid ได้ และยังทำให้มั่นใจในระบบ Parallel Full Hybrid ได้อีกด้วย ด้วยการดีไซจ์นในลักษณะนี้ มอเตอร์ไฟฟ้าจะมีบทบาทตั้งแต่รถเริ่มทำงาน จนกระทั่งวิ่งด้วยความเร็วสูง ผลลัพธ์ คือ รถยนต์ต้นแบบคันนี้สามารถวิ่งด้วยความเร็วสูงสุดกว่า 120 กม./ชม. โดยที่เครื่องยนต์สันดาปภายในไม่ต้องทำงาน ทั้งนี้มอเตอร์ไฟฟ้ายังมีส่วนช่วยในเรื่องของอัตราเร่ง และความยืดหยุ่น
ในที่สุด Porsche Cayenne รุ่นระบบขับเคลื่อนแบบฟูลล์ไฮบริด ก็ออกสู่ตลาดในปี 2010 บนตัวถังเจเนอเรชันที่ 2 และถือเป็นรถยนต์ไฮบริด จากสายการผลิตคันแรกของ Porsche จากผลจากการผนึกกำลังระหว่างเครื่อง ยนต์เบนซินความจุ 3 ลิตร V6 ซูเพอร์ชาร์จ 333 แรงม้า และมอเตอร์ไฟฟ้าแบบซิงโครไนซ์ขนาด 47 แรงม้า (34 กิโลวัตต์) ให้พละกำลังรวม 380 แรงม้า (279 กิโลวัตต์) และต่อมาภายหลังอีก 4 ปี Porsche ถือกำเนิดรถ ยนต์รุ่นพลัก-อิน ไฮบริดเป็นรุ่นแรก ซึ่งถือได้ว่า Porsche เป็นผู้บุกเบิกรถยนต์ไฟฟ้าในระดับพรีเมียม SUV อย่างแท้จริง ถัดมาที่รุ่น Cayenne S E-Hybrid เป็นรุ่นที่สามารถวิ่งด้วยพลังงานไฟฟ้าอย่างเดียวได้ในระยะทางมากกว่า 30 กม. ส่งผลมาจากการที่แบทเตอรี Nickel-Metal Hydride ถูกแทนที่ด้วย Lithium-Ion โดยที่เครื่องยนต์สันดาปภายในยังคงเดิม และในขณะที่มอเตอร์ขับเคลื่อนให้พละกำลังเพิ่มขึ้นเป็น 95 แรงม้า (70 กิโลวัตต์) พลังรวมจากทุกระบบจะขยับขึ้นเป็น 416 แรงม้า (306 กิโลวัตต์)
ซูเพอร์คาร์ที่วิ่งได้ทุกเส้นทาง รวมถึงความสำเร็จในการแข่งแรลลี และสถิติเวลารอบสนาม
Porsche Cayenne คือ รถสปอร์ทที่มีความครบครันรอบด้าน และผ่านบทพิสูจน์ความแข็งแกร่งมาแล้วในทุกสภาพอากาศที่สุดขั้ว ย้อนกลับไปเมื่อปี 2006 ทีมแข่งแรลลีอิสระ 2 ทีม เข้าร่วมการแข่งขันรายการ Transsybe ria Rally ด้วยรถ Porsche Cayenne S ระยะทางจาก Moscow เดินทางข้ามไปยัง Siberia ประเทศรัสเซีย จนถึง Ulaanbaatar ในประเทศมองโกเลีย และจบการแข่งขันได้ในอันดับ 1 และอันดับ 2 ตามลำดับ ทาง Porsche เองก็ได้รับแรงบันดาลใจจากชัยชนะในครั้งนี้ และนำพัฒนาเป็นรถแข่งรุ่น Limited ด้วยโมเดลรุ่น Cayenne S Transsyberia จำนวน 26 คัน เพื่อตอบโจทย์สำหรับการแข่งขันแรลลีทางไกล และตอบสนองความต้องการของกลุ่มลูกค้ากลุ่มมอเตอร์สปอร์ทในการแสวงหารถยนต์ที่พร้อมลงแข่งเพื่อคว้าแชมพ์ ซึ่งกองทัพรถแข่งตัวแรงดังกล่าวสามารถสร้างผลงานชั้นยอดด้วยอันดับ 1, อันดับ 2 และอันดับ 3 ตามลำดับ ในรายการแข่ง ขัน Transsyberia 2007 และจบการแข่งขันด้วยสถิติการติดอันดับ Top 10 ทั้งหมด 7 รายการ
และด้วยในฐานะรถแข่งที่มีพื้นฐานมาจาก Cayenne เจเนอเรชันแรก ทำให้ Cayenne S Transsyberia ได้รับการติดตั้งอุปกรณ์ที่ถูกออกแบบมาโดยเฉพาะ ประกอบไปด้วยยางรถยนต์ชุดพิเศษ Specialist All-Terrain, โครงสร้างตัวถังนิรภัย Safety Cage, เพลาขับ Shorter Axle Ratio, ฟันเฟืองท้ายแบบ Differential Lock พร้อมปีกนกคู่หน้าแบบ Reinforced และแผ่นปิดใต้ท้องรถแบบ Reinforced มาพร้อมพละกำลังที่ได้จากเครื่อง ยนต์ V8 กับความแรงถึง 385 แรงม้า (283 กิโลวัตต์) รวมไปถึงประสบการณ์ที่ได้รับจากการแข่งขันแรลลีนั้น ทำให้ถูกนำข้อได้เปรียบมาพัฒนาต่อยอดขุมพลังเครื่องยนต์ใหม่ มาพร้อมระบบหัวฉีดเชื้อเพลิงตรงเข้าห้องเผาไหม้ หรือเรียกว่า Direct Fuel Injection ซึ่งจะลดอัตราสิ้นเปลืองลงได้สูงสุดถึง 15 % นอกจากนั้นยังเพิ่มเติมระบบ Porsche Dynamic Chassis Control (PDCC) รุ่นล่าสุด ทำงานร่วมกับ Active Anti-Roll Bars ที่ลดอา การสั่นสะเทือนของตัวของรถเมื่อเข้าโค้ง รวมถึงการปรับแต่งการทำงานของเพลาขับของรถให้ส่งกำลังได้อย่างต่อเนื่อง และในปี 2008 รถแข่ง Cayenne S Transsyberia ทั้ง 19 คัน ได้ลงแข่งในรายการ Siberia Rally และสามารถจบการแข่งขันในอันดับที่ 6 ของการทำผลงานได้ดีจาก 10 อันดับแรก
รถ Porsche Cayenne Turbo GT ถือว่าเป็นรุ่นที่ทรงพลังในระดับแถวหน้าของโมเดล Cayenne ที่ต้องการระยะทางเพียงอีก 20,832 กม. เท่านั้นเพื่อเป็นบทพิสูจน์แสดงให้เห็นถึงสมรรถนะชั้นเลิศจากการแข่งขันรถยนต์แรลลีใน Transsyberia Rally ด้วยระยะทางรวมการแข่งขันมากกว่า 7,000 กม. และต้องใช้ระยะเวลาในการแข่งขันประมาณ 2 สัปดาห์ ซึ่ง Lars Kern นักขับทดสอบสังกัดโรงงานของ Porsche ได้สร้างสถิติดังกล่าวในประเภทของรถยนต์ SUV บนสนามแข่ง Nurburgring-Nordschleife อันโด่งดัง โดยสามารถทำสถิติเวลาต่อรอบในสนามที่ 7:38.925 นาที เมื่อวันที่ 14 มิถุนายน 2021 ที่ผ่านมาโดย ซึ่งตัวรถนั้นได้ผ่านการปรับแต่งเพื่อให้มีอัตราเร่ง ประสิทธิภาพในการบังคับควบคุมได้เป็นอย่างดี และสมรรถนะในรุ่น Turbo GT สามารถมอบพละกำลังสูงสุดถึง 640 แรงม้า (471 กิโลวัตต์) ที่ได้จากเครื่องยนต์ขนาด 4 ลิตร V8 เทอร์โบคู่ คือ สิ่งที่นำมาซึ่งคุณลักษณะของรถสปอร์ทเต็มตัว รวมไปถึงความสามารถในการเร่งความเร็วการออกตัวได้มากถึง 100 กม./ชม. ภายในระยะเวลาเพียง 3.3 วินาที ความเร็วสูงสุดทะยานไปถึง 300 กม./ชม. และอุปกรณ์พื้นฐานที่มาพร้อมกับตัวรถนั้น จะสามารถมอบประสบการณ์ความสปอร์ทหรูได้ดียิ่งขึ้น รวมทั้งห้องโดยสารภายในที่ถูกดีไซจ์นมาในรูปแบบ 4 ที่นั่งสไตล์รถ 2 ประตูคูเป และรุ่น Porsche Cayenne Turbo GT สามารถเลือกติดตั้งระบบช่วงล่างได้ตามความต้องการทุกรูปแบบ พร้อมยางรถยนต์ที่มีประสิทธิภาพสูงจากการถูกพัฒนาสำหรับรถรุ่นนี้โดยเฉพาะ พร้อมระบบขนส่งพละกำลังความเร็ว และระบบช่วงล่างที่ถูกปรับแต่งเป็นพิเศษ ผสมผสานอัดก่อเกิดความลงตัวตามแนวทางของรถสนามสายพันธุ์แรงอัดเต็มไปด้วยสมรรถนะครบรอบด้าน
เริ่มจากการเฉิดฉายด้วยโครงการ "Roadrunner" ทะยานสู่ยนตกรรม GTS คันแรกของยุคสมัย
ผู้พัฒนา Porsche Cayenne เจเนอเรชันแรกได้เล็งเห็นถึงความสามารถของรุ่นย่อยที่จะเปิดตัวออกมาเป็นตัวแทนรถในรูปแบบออนโรดไว้แล้ว จากการประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก หลังการเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ และวางจำหน่ายรถรุ่นดังกล่าว ก็ได้เกิดขึ้นรุ่นย่อยตามมาในไม่ช้า และในระหว่างขั้นตอนการพัฒนารุ่น E1 เมื่อปี 1998 และในปี 2004 ทำให้ Oliver Laqua ผู้จัดการโครงการ Cayenne ในปัจจุบัน ผู้ซึ่งเคยทำงานตำแหน่ง Concept Engineer และทีมงานของเค้ามีความคิดเห็นตรงกันว่าการออกแบบ Cayenne ควรออกแบบให้มีภาพลักษณ์แนวสปอร์ทมากยิ่งขึ้นในทุกด้าน ด้วยความมุ่งมั่น และปรารถนาอันแรงกล้าของวิศวกรหนุ่มที่มีความชัด เจนตั้งแต่แรกเริ่ม ทำให้เป้าหมายของ Oliver Laqua คือ การพัฒนารถยนต์ที่มีน้ำหนักเบาลง ภายใต้ชื่อโครงการ "Roadrunner" โดย Oliver Laqua กล่าวเอาไว้ว่า “เราต้องวางแผนการจัดการในชิ้นส่วนของชุด Trans fer Case เนื่องจากมันสามารถลดน้ำหนักให้เบาลงได้ถึง 80 กก. และเรายังพิจารณาถึงการนำเอาเบาะที่นั่ง Racing Bucket Seats แบบ 4 ตำแหน่งมาใช้เพื่อลดน้ำหนักของตัวรถให้เบาลง รวมทั้งการยกระดับอัดแน่นความสปอร์ทให้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม ความเป็นจริง คือ โครงการ "Roadrunner" มีความเหมาะสมเป็นพิเศษกับรถยนต์ที่ใช้ระบบขับเคลื่อนล้อหลัง แต่ยังสร้างความน่าสนใจให้แก่บรรดาคณะกรรมการบริหารได้ไม่มากนัก เช่นเดียวกับเบาะ Bucket Seats ที่ไม่ตอบโจทย์ความสะดวกสบายในการใช้งาน และเมื่อกลับพิจารณาถึงด้านระบบของการขับเคลื่อน นักพัฒนาได้คิดแนวทางในการทำงาน ด้วยเครื่องยนต์ V8 ไร้ระบบอัดอากาศ จะถูกแทนที่ด้วยเครื่องยนต์เทอร์โบ อีกทั้งโครงการนี้ ไม่ได้เพียงแต่คิดถึงพละกำลังที่จะได้จากความแรงของเครื่องยนต์เท่านั้น แต่ตัวรถต้องมีอัตราการตอบสนองที่ยอดเยี่ยมด้วยเช่นกัน ทั้งนี้อุปกรณ์พื้นฐานที่ประกอบไปด้วยเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ และช่วงล่างที่ถูกปรับแต่งมาเป็นพิเศษ และเป็นครั้งแรกที่ทำให้ปรับระบบของช่วงล่างเป็นลักษณะของเหล็กกล้า และรับการเสริมประสิทธิภาพด้วยระบบ PASM ซึ่งระบบนี้ได้ถูกสงวนไว้ใช้กับรถสปอร์ท 2 ประตูมาโดยตลอด รวมทั้งชิ้นส่วนด้านหน้า/หลังถูกปรับรูปแบบให้มีความใกล้เคียงกับรุ่น Cayenne Turbo รวมไปถึงซุ้มล้อที่ถูกเพิ่มขยายขนาดใหญ่ขึ้นฝั่งละ 14 มม. เพื่อเสริมภาพลักษณ์ที่ดุดันให้แก่รถรุ่นใหม่อย่างเต็มพิกัด นอกจากนี้ความสูงของช่วงล่างยังลดลงถึง 24 มม. เมื่อเทียบกับ Cayenne S
สำหรับที่มาของชื่อรุ่น 928 GTS ซึ่งเป็นรุ่นที่ถูกยกเลิกการผลิตไปเมื่อปี 1995 รวมไปถึงชื่อของรุ่น 904 Carrera GTS ซึ่งเป็นรถ Porsche ในช่วงยุค 1960 โดยแรงบันดาลใจการตั้งชื่อของทั้ง 2 รุ่นนั้นถูกนำมาจากหนังสือประวัติศาสตร์ของ Porsche โดยรถสปอร์ท Porsche ทุกรุ่นที่มีอักษรต่อท้าย "GTS" นั้นมีความหมายมาจากคำว่า "Gran Turismo Sport" เป็นสิ่งที่แสดงถึงสมรรถนะของรถสปอร์ทที่ผนวกเข้ากับความโดดเด่นของศักย ภาพในการเดินทางระยะยาว โดยรถ Porsche Cayenne GTS รุ่นแรกนั้น ได้เปิดตัวในปี 2007 ในฐานะรุ่นที่พลิกโฉมใหม่ของรถเจเนอเรชัน E1 มีพละกำลังสูงสุดถึง 405 แรงม้า (298 กิโลวัตต์) จากเครื่องยนต์ขนาด 4.8 ลิตร ด้วยขุมพลังการขับเคลื่อนของเครื่องยนต์ด้วยระบบไร้การช่วยอัดอากาศที่ติดตั้งมาในเครื่องยนต์ของ Porsche Cayenne ทุกรุ่น ซี่งเจเนอเรชันที่ 2 ของรุ่น GTS นั้นมีพละกำลังที่เพิ่มขึ้นมาให้เป็น 420 แรงม้า (309 กิโลวัตต์) สำหรับรุ่นที่ถูกปรับโฉมในปี 2015 Porsche ได้เปลี่ยนเครื่องยนต์จาก V8 ระบบไร้การช่วยอัดอากาศมาเป็น V6 เทอร์โบคู่ พร้อมประสิทธิภาพที่ดียิ่งขึ้นในหลายๆ ด้าน ถึงแม้จะมีความจุของกระบอกสูบที่ลดลง แต่สามารถให้พละกำลังที่สูงเพิ่มขึ้นมาถึง 20 แรงม้า (15 กิโลวัตต์) รวมทั้งประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงได้มากขึ้นกว่าเดิม และสำหรับ Cayenne GTS ในรุ่นปัจจุบัน Porsche ได้นำเครื่องยนต์ 8 สูบกลับมาติดตั้งในตัวเครื่องอีกครั้ง ด้วยการติดตั้งขุมพลังความแรงถึง 460 แรงม้า (338 กิโลวัตต์) ด้วยความจุเครื่องยนต์ขนาด 4 ลิตรแบบ V8 เทอร์โบคู่ ทำให้ Cayenne GTS นั้นสะท้อนให้เห็นถึงความมีชื่อเสียง และประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ จึงส่งผลให้รถสปอร์ท Porsche ในรุ่นปัจจุบัน ได้แบบอย่างวิธีการเสริมความครบถ้วนให้ตรงต่อความต้องการทุกระดับมาจากรุ่น GTS
เปิดประตูสู่โลกใบใหม่ไปกับ Porsche Cayenne ด้วยตลาดกลุ่มใหม่ พร้อมฐานลูกค้ากลุ่มใหม่
เพียงไม่นานหลังจากเปิดตัวครั้งแรกของโลกในงานมหกรรมยานยนต์ Paris Motor Show เมื่อเดือนกันยายนในปี 2002 Porsche Cayenne กลายเป็นรถยนต์ที่ประสบความสำเร็จไปทั่วโลก และถือเป็นอีกรุ่นหนึ่งที่มียอดจำหน่ายสูงเกินความคาดหมายอย่างมากจากเป้าที่ถูกตั้งเอาไว้ โดย Porsche คาดการณ์เอาไว้ว่าจะมียอดส่งมอบ/ปี อยู่ที่ปีละ 25,000 คัน และตลอดระยะเวลา 8 ปี ของการทำการตลาดในเจเนอเรชันแรกนั้น มียอดจำ หน่ายที่สูงถึง 276,652 คัน คิดเป็นยอดขาย/ปี เกือบ 35,000 คัน ซึ่งรถ Porsche Cayenne ก็ได้รับความนิยมมาอย่างต่อเนื่องจนถูกจับจองเป็นเจ้าของถึงหลักล้านคัน และมีรุ่นที่ถูกผลิต ประกอบขึ้นจากสายการผลิตในช่วงฤดูร้อนตั้งแต่ปี 2020 ที่ผ่านมา ได้มีการทำเรื่องส่งมอบถึงมือลูกค้าเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จำนวนกว่า 80,000 คันจากฐานข้อมูลในปี 2021 ล่าสุด
Oliver Blume ประธานกรรมการบริหารของ Porsche AG ได้กล่าวภายในงานเปิดตัว Porsche Cayenne เจเนอเรชัน 3 ครั้งแรกของโลก ซึ่งจัดขึ้นบริเวณดาดฟ้าของพิพิธภัณฑ์ Porsche Museum เมื่อปี 2017 ไว้ว่า สำหรับ Porsche Cayenne ถือได้ว่า เป็นรถยนต์รุ่นที่สามารถสร้างฐานความต้องการของรถรุ่นนี้ได้อย่างสำเร็จ และยั่งยืนแก่บริษัทผู้ผลิตรถยนต์ที่ให้คุณค่าต่อวงการมอเตอร์สปอร์ทได้อย่างสวยงาม ด้วยผลงานที่น่าพอใจของ Cayenne ส่งผลให้เราประสบความสำเร็จในการสร้างตำนานบทใหม่แก่ Porsche และนำพาเราก้าวข้ามไปสู่ตลาดกลุ่มใหม่ได้อย่างสมบูรณ์แบบ ซึ่งรถสปอร์ท SUV ของเรานั้นได้ผ่านบทพิสูจน์แล้วด้วยการได้เป็นรถที่มียอดจำหน่าย และอัตราการเติบโตสูงสุดตั้งแต่ปี 2002 ไม่เพียงแค่นั้น Porsche Cayenne คือ รถยนต์ที่เปิดประตูบานใหม่นำพาเราก้าวเข้าสู่ตลาดกลุ่มใหม่ๆ มากมาย รวมทั้งก่อให้เกิดการขยายตัวของเครือข่ายการจำ หน่ายไปสู่ระดับสากลอย่างเด่นชัด
Detlev Von Platen สมาชิกคณะกรรมการบริหาร ผู้กำกับดูแลส่วนงานขาย และการตลาดของ Porsche กล่าวทิ้งท้ายภายในงานไว้ว่า ในฐานะยนตรกรรมสปอร์ท SUV ที่มีสไตล์ไม่เหมือนใครของ Cayenne ได้มีส่วนช่วยเสริมสร้างภาพลักษณ์ผลิตภัณฑ์ของเราให้แข็งแกร่งเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะในประเทศจีน และในตลาดทวีปเอเชีย นี่คือ รถยนต์ Porsche รุ่นที่มีความต้องการสูงสุดทั่วทุกแห่งของโลก และผมเชื่อมั่นว่า ในอนาคตข้างหน้า รถยนต์รุ่นนี้จะยังคงรักษาระดับความนิยมอันยอดเยี่ยมเอาไว้ได้อย่างแน่นอน
ABOUT THE AUTHOR
นุสรา เงินเจริญ
บรรณาธิการข่าวธุรกิจและสังคม รักการอ่าน ขอบงานเขียน ชอบพบปะผู้คน ได้มีโอกาสสัมภาษณ์ผู้บริหารในวงการยานยนต์ไทย ท่องเที่ยว เป็นประสบการณ์ที่ดี พร้อมได้ เปิดโลก ได้พัฒนาตัวในแวดวงสื่อสารมวลชน
ภาพโดย : บริษัทผู้ผลิตคอลัมน์ Online : ธุรกิจ (บก. ออนไลน์)