11 ความผิดพลาดที่ก่อให้เกิดอุบัติเหตุบนถนน

  ข่าวจากประเทศอังกฤษ ระบุว่า NHTSA (National Highway Traffic Safety Administration) และ AAA (Foundation for Traffic Safety) ได้รวบรวมสาเหตุการเกิดอุบัติเหตุจากรถยนต์ที่เกิดขึ้น โดยสาเหตุส่วนใหญ่ของอุบัติเหตุ เกิดขึ้นจากความผิดพลาดของมนุษย์ ดังนั้นทางที่ดีที่สุดในการลดอุบัติเหตุ คือ ละเว้นการกระทำที่สร้างความเสี่ยงให้เกิดอุบัติเหตุ ผู้ขับขี่รถส่วนใหญ่มักจะสะสมนิสัยไม่ดีในการขับรถมากขึ้นตลอดเวลา ทั้งการขับรถเร็ว หรือกินอาหารระหว่างการขับรถ วิธีลดความเสี่ยงไม่ให้เกิดอุบัติเหตุ คือ การย้อนกลับมาทบทวนว่า มีพฤติกรรมอะไรที่จะก่อให้เกิดอุบัติเหตุ สำหรับข้อมูลการเกิดอุบัติเหตุได้มาจากการรวบรวมของการบริหารความปลอดภัยการจราจรบนทางหลวงแห่งชาติ (NHTSA) ของสหรัฐฯ และสมาคมยานยนต์อเมริกัน (AAA) ได้รวบรวมการกระทำ 11 อย่างที่ก่อให้เกิดอุบัติเหตุบนท้องถนน    

1. สวมหูฟังขณะขับรถ

ถ้าเครื่องเสียงในรถเสีย แล้วเปลี่ยนมาใช้หูฟังแทน ซึ่งวิธีนี้จะเป็นการตัดคุณออกจากโลกภายนอก เพราะคุณจะไม่รู้ว่ารถข้างๆ ได้กดแตรเตือน หรือมีมอเตอร์ไซค์กำลังจะวิ่งแซงรถคุณไป ดังนั้นการใช้ลำโพงบลูทูธจะเป็นทางออกที่ปลอดภัยมากกว่าการใช้หูฟัง    

2. ขับรถขณะมึนเมา

NHTSA ได้รายงานไว้ว่าที่สหรัฐฯ ในแต่ละวันจะมีผู้เสียชีวิตร่วม 30 คน จากอุบัติเหตุบนท้องถนน เพราะการขับรถขณะมึนเมา มีวิธีเดียวที่จะป้องกันการเกิดอุบัติเหตุขณะมึนเมา คือ ถ้าเมาไม่ขับ ถ้าขับรถอย่าดื่มสุรา    

3. ขับรถหลังเสพกัญชา

ทุกวันนี้กัญชาถูกยอมรับหลายรัฐในสหรัฐอเมริกา แต่ไม่ได้หมายความว่าถ้าเสพกัญชาแล้วขับรถไม่ผิดกฎหมาย การขับรถหลังเสพกัญชาจัดว่ามีอันตราย และมีความผิดเท่ากับการขับรถขณะเมาสุรา จากข้อมูลของ AAA พบว่ามีคนถึง 14.8 ล้านคน ที่ขับรถภายใน 1 ชม. หลังการเสพกัญชา และเกือบ 70 % ของคนอเมริกัน ที่คิดว่าตำรวจไม่สามารถตรวจวัดการเสพกัญชาได้ ซึ่งปัจจุบันมีเครื่องตรวจวัดการเสพกัญชาจากลมหายใจแล้ว    

4. ขับรถขณะง่วง หรืออ่อนเพลีย

ในปี 2561 ทาง AAA ประกาศว่า 9.5 % ของอุบัติเหตุเกิดขึ้นจากคนขับมีอาการง่วง หรืออ่อนเพลีย จากการศึกษาพบว่า คนขับได้นอนหลับเพียง 5 ชม. จะทำให้มีโอกาสในการเกิดอุบัติเหตุได้พอๆ กับ การเมาแล้วขับ การป้องกันมีเพียงทางเดียว คือ ต้องนอนหลับให้พอเพียง การดื่มเครื่องดื่มชูกำลัง หรือกาแฟ Espresso ไม่ได้ช่วยอะไร ควรจะหยุดขับรถเพื่อนอนหลับซัก 20 นาที หากเริ่มมีอาการขับไม่ตรงทาง หรือตาใกล้จะปิดแล้ว    

5. การขับรถโดยไม่รัดเข็มขัดนิรภัย

เมื่อขึ้นรถต้องคาดเข็มขัดนิรภัยทุกครั้ง แม้จะขับรถช้าก็ตาม การขับรถโดยไม่รัดเข็มขัดนิรภัยในรถรุ่นใหม่ที่มีถุงลมนิรภัยยิ่งอันตรายกว่า เพราะขณะชนตัวคนขับจะถูกแรงเหวี่ยงให้ตัวพุ่งไปข้างหน้า ขณะเดียวกันกับถุงลมนิรภัยพุ่งสวนออกมาในทิศทางตรงกันข้าม อาจก่อให้เกิดการบาดเจ็บ หรือรุนแรงจนถึงขั้นเสียชีวิตได้    

6. เชื่อมั่นระบบช่วยขับขี่มากเกินไป

ระบบช่วยการขับขี่อีเลคทรอนิคส์ เช่น ระบบครูสคอนทโรล, ระบบรักษารถให้อยู่ในเลน และระบบเบรคฉุกเฉินอัตโนมัติ เป็นการช่วยการขับรถให้ปลอดภัยขึ้น แต่ไม่ใช่ระบบการขับขี่แบบไร้คนขับ ซึ่งขณะนี้ยังไม่มีระบบขับขี่ไร้คนขับสมบูรณ์ที่สามารถใช้งานบนถนนสาธารณะได้ รถจะมีระบบช่วยการเบรค หรือบังคับเลี้ยว แต่คนขับยังต้องจับพวงมาลัยทั้งสองข้าง และตามองไปบนถนนข้างหน้า แม้แต่ระบบช่วยจอด ที่มีเซนเซอร์ และจอแสดงภาพจับด้านหลัง จึงไม่ใช่ข้ออ้างในการขับรถเดินหน้า หรือถอยหลังโดยไม่ดูรอบข้างก่อน    

7. ขับรถโดยใช้เข่าประคองพวงมาลัย

การขับรถเดินทางไกลเป็นเวลานานจนเมื่อยแขน บางคนอาจเปลี่ยนมาใช้เข่าช่วยประคองพวงมาลัยแทน อาจทำให้เกิดอุบัติเหตุรุนแรงได้ หากคิดว่าจะไม่ใช้มือจับพวงมาลัยเพราะถนนเป็นทางตรงยาว บางครั้งอาจต้องหักหลบอุบัติเหตุ, มีสัตว์วิ่งตัดหน้า หรือคราบน้ำมันบนถนน เข่าคงไม่สามารถทำหน้าที่ได้ดีเท่ากับมือทั้งสองข้างได้    

8. การใช้งานระบบสาระบันเทิง (Infotainment) ขณะขับรถ

รถรุ่นใหม่แทบทุกคัน จะติดตั้งระบบสาระบันเทิง ผู้ขับขี่ใช้งานระบบสาระบันเทิงขณะขับรถ จะสูญเสียสมาธิยิ่งว่าการใช้งานโทรศัพท์อีก โดยเฉพาะในระยะแรกที่ยังไม่คุ้นเคยกับการใช้งานระบบ ที่ต้องเพ่งมองหน้าจอ เพื่อเลือกเมนูซึ่งมีหลายขั้นตอน คุณคงไม่ทราบว่าระหว่างนั้นรถวิ่งไปไกลเท่าไรแล้ว ทางที่ดีควรจอดใช้งานให้เสร็จแล้วจึงเดินทางต่อ    

9. ขับจี้ท้ายรถคันหน้า

ยิ่งคุณขับรถจี้ท้ายรถคันหน้ามากเท่าไหร่ หากรถคันหน้าเกิดลดความเร็วลง คุณอาจจะเบรคไม่ทัน การขับรถควรเว้นระยะห่างจากคันหน้า อย่างน้อยต้องมีระยะห่างเท่ากับรถใช้เวลา 2 วินาที (22.2 ม./วินาที ที่ความเร็ว 80 กม./ชม.) ควรเพิ่มระยะห่างเมื่อใช้ความเร็วเพิ่ม เพื่อความมั่นใจว่าจะเหยียบเบรคทันเวลา    

10. ใช้โทรศัพท์ขณะขับรถทำให้ขาดสมาธิ

การใช้โทรศัพท์เพื่อส่งข้อความ หรือตอบเมลระหว่างขับรถ สามารถทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ง่ายที่สุด โดย AAA พบว่า 41.3 % ของผู้ขับขี่อ่านข้อความระหว่างการขับรถ และมีถึง 32.1 % ที่พิมพ์ข้อความบนโทรศัพท์ การพูดคุยผ่านโทรศัพท์ยังเป็นการสื่อสารที่ปลอดภัยกว่า เพราะไม่ได้ละสายตาออกจากถนน แต่ทางที่ดีควรเก็บโทรศัพท์ไว้ในคอนโซล และงดใช้งานขณะขับขี่    

11. ไม่ล่ามสุนัขขณะเดินทาง

การขับขี่รถที่มีสุนัขอยู่ภายในรถ จะทำให้เสียสมาธิในการขับขี่ จากข้อมูลของ AAA พบว่า มีคนขับถึง 52 % ที่ใช้มือลูบขนสุนัขขณะขับรถ, คนขับ 23 % ที่ใช้มือกอดสุนัขขณะเบรค และคนขับ 19 % ที่ต้องคอยกันไม่ให้สุนัขกระโดดข้ามมาที่เบาะหน้าขณะขับรถ สิ่งที่ควรทราบ คือ สุนัขที่มีน้ำหนัก 10 กก. จะสร้างแรงปะทะถึง 300 กก. เมื่อเกิดเหตุรถชนที่ความเร็วประมาณ 50 กม./ชม. ทางที่ดีที่สุด สำหรับเจ้าของ และสุนัข คือ ควรล่ามให้เรียบร้อยก่อนการเดินทางทุกครั้ง