ธุรกิจ
Shell จัดงาน Shell Forum 2022
บริษัท เชลล์แห่งประเทศไทย จำกัด พร้อมด้วยผู้เชี่ยวชาญจากหน่วยงานภาครัฐ และภาคเอกชน จัดเวทีสัมมนาเพื่อพูดคุย และแลกเปลี่ยนความคิดเห็นถึงแนวโน้มในอนาคตการขับเคลื่อนประเทศสู่สังคมคาร์บอนต่ำในงานสัมมนา Shell Forum 2022 ในหัวข้อ “Decarbonization: The Journey Towards Low-Carbon Economy” เพื่อระดมแนวคิด และความร่วมมือของทุกภาคส่วนในการผลักดันให้ไทยก้าวสู่การเป็นสังคมคาร์บอนต่ำอย่างยั่งยืน
วราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม กล่าวปาฐกถาในช่วงแรกของงานซึ่งใช้ชื่อว่า “The Thought Leaders” ผ่านหัวข้อ Thailand's Climate Commitment and Decarboniza tion Journey ว่า ประเทศไทยติด 1 ใน 10 ประเทศของโลก ที่ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ขณะที่เราปล่อยแกสเรือนกระจกเพียง 0.8 % ของโลก โดยมีสาเหตุหลักมาจากการทำปศุสัตว์ รวมถึงเกษตรกรรม กระทรวงฯ จึงได้มีการทดลองปรับปรุงเทคนิคการทำนาขึ้นที่จังหวัดสุพรรณบุรี ด้วยการปลูกข้าวแบบเปียกสลับแห้ง ซึ่งพบว่า ช่วยลดการเกิดแกสมีเทนได้สูงถึง 70 % และยังเพิ่มผลผลิตได้ถึง 850 กก./ไร่ นอกจากนี้ยังได้ดำเนินงานตามนโยบาย Bio-Circular-Green Economy (BCG) เพื่อมุ่งสู่การบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี พศ. 2593 และเป้าหมายการปล่อยแกสเรือนกระจกสุทธิเป็น 0 ภายในปี พศ. 2608 โดยเน้นขับเคลื่อนการดำเนินงาน 6 ด้าน ได้แก่ ด้านนโยบาย ด้านการพัฒนาเทคโนโลยี CCS (Carbon Capture and Storage) ด้านการลงทุน ด้านพัฒนากลไกตลาดคาร์บอนเครดิท ด้านการเพิ่มแหล่งกักเก็บ /ดูดกลับแกสเรือนกระจก และด้านกฎหมาย สำหรับภาคเกษตรกรรม ได้มีการใช้แนวคิด Agri-Tech with Roots (ATR) ซึ่งประสานเทคโนโลยีร่วมกับปราชญ์ชาวบ้านของไทย ในไทยยังมีป่าชุมชนกว่า 11,000 แห่งที่ถือเป็นขุมทรัพย์สำคัญสำหรับเศรษฐกิจ รัฐบาลยังมีแผนเพิ่มพื้นที่สีเขียวในไทยให้ได้ 55 % ตามยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ทั้งนี้กระทรวงฯ ได้วางแนวทาง และกลไกการบริหารจัดการคาร์บอนเครดิทที่จะสนับสนุนการร่วมมือจากทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ประชาชนอย่างมั่นคง และยั่งยืนต่อไป
ภายในงาน ศ. ดร. พิสุทธิ์ เพียรมนกุล เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานได้ร่วมกล่าวปาฐกถาในหัวข้อ Thailand's Decarbonization Policy in the Energy Sector ว่า 71 % ของการปล่อยแกสเรือนกระจกในปัจ จุบันมาจากภาคพลังงาน รองลงมาเป็นภาคการเกษตร ตามด้วยอุตสาหกรรมการผลิต และการบริหารจัดการของเสีย ซึ่งปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ (Low Carbon Economy) อย่างยั่งยืนประกอบไปด้วย 4P ได้แก่ Profit (กำไร) People (ผู้คน) Planet (โลก) และ Partnership (พันธมิตร) กระทรวงพลังงานได้วางแนวนโยบายแผนพลังงานชาติสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำเพื่อมุ่งไปสู่การเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี พศ. 2593 ซึ่งเน้นไปที่ (1) การใช้พลังงานหมุนเวียนให้มากกว่า 50 % โดยมีระบบกักเก็บพลังงานที่ดี (2) นโยบาย 30@30 ที่ตั้งเป้าจะผลิตรถยนต์ที่ปล่อยมลพิษเป็น 0 ให้ได้อย่างน้อย 30 % ของการผลิตรถยนต์ทั้งหมดภายในปี คศ. 2030 หรือ พศ. 2573 (3) การเพิ่มประสิทธิภาพพลังงาน และ (4) นโยบาย 4D1E ได้แก่ Digitalization การนำเทคโนโลยีดิจิทอลมาใช้ร่วมกับเทคโนโลยีด้านพลังงาน, Decarbonization การลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์, Decentralization การผลิตพลังงานแบบกระจายตัว, De-Regulation การเปิดเสรีภาคพลังงาน และ Electrification การใช้พลังงานไฟฟ้าสีเขียว โดยภาครัฐได้เพิ่มการลงทุนในพลังงานหมุนเวียนร่วมกับโมเดล BCG โดยเชื่อมั่นว่า เมื่อประเทศไทยปรับแผนพลังงานพร้อมขับเคลื่อนสู่สังคมเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำจะช่วยสร้างมูลค่าเศรษฐกิจ เพิ่มศักยภาพการแข่งขันของผู้ประกอบการไทย เพิ่มการลงทุน และการจ้างงาน บรรเทาปัญหามลพิษ PM2.5 และฟื้นฟูเศรษฐกิจได้หลังวิกฤต COVID-19 อย่างยั่งยืน
ปนันท์ ประจวบเหมาะ ประธานกรรมการ บริษัท เชลล์แห่งประเทศไทย จำกัด กล่าวว่า ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่เกิดจากภาวะโลกร้อนกำลังเป็นภัยคุกคามที่ส่งผลกระทบต่อทุกภาคส่วน Shell ได้ประกาศกลยุทธ์ Powering Progress ในปี พศ. 2563 เป็นกลยุทธ์ในการเร่งการเปลี่ยนผ่านสู่การเป็นธุรกิจพลังงานที่ลดการปล่อยแกสเรือนกระจกสุทธิให้เป็น 0 โดยมีเป้าหมายสำคัญดังนี้ (1) การลดการปล่อยแกสเรือนกระจก (Net-Zero Emissions) ให้ได้ 50 % ภายในปี พศ. 2593 และให้เป็น 0 ภายในปี พศ. 2608 (2) การส่งเสริมคุณภาพชีวิต และความเป็นอยู่ของทุกคนให้ดีขึ้น (Powering Lives) ผ่านการจัดหาพลังงานที่มีคุณภาพดี เชื่อถือได้ และยั่งยืน (3) การเคารพธรรมชาติ (Respecting Nature) การปกป้องสิ่งแวดล้อม การลดและจัดการของเสีย รวมถึงการมีส่วนร่วมในการสร้างความหลากหลายทางชีวภาพ (4) การสร้างมูลค่าให้แก่ผู้ถือหุ้น (Gene rating Shareholder Value) การที่ Shell จะสามารถบรรลุเป้าหมายที่กล่าวมาแล้วข้างต้นได้นั้น จำเป็นต้องสร้างความแข็งแกร่งด้านการเงิน
นอกจากความมุ่งมั่นที่จะจัดหาพลังงานเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค และสนับสนุนนโยบายของภาครัฐแล้ว Shell ยังตระหนักดีถึงความสำคัญของสมดุลระหว่างองค์ประกอบต่างๆ ทั้งด้านคุณภาพ ความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ ความยั่งยืน และสิ่งแวดล้อม ผ่านการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ และบริการคุณภาพสูง ไม่ว่าจะเป็นการใช้เชื้อเพลิงที่มีส่วนผสมจากวัสดุทางชีวภาพ การจัดจำหน่ายน้ำมันหล่อลื่นที่มีความเป็นกลางทางคาร์ บอน และผลิตภัณฑ์ยางมะตอย Bitumen Fresh Air ที่ช่วยลดการปล่อยแกสเรือนกระจกเข้าสู่ชั้นบรรยากาศ การติดตั้งจุดชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าร่วมกับแบรนด์รถยนต์ชั้นนำ ตลอดจนการริเริ่มโครงการ Nature-Based Solu tions
จากประสบการณ์การทำงานร่วมกับหลายภาคส่วนที่ผ่านมารวมทั้งทีมงานของ Shell ระดับภูมิภาค เรามองถึงการดำเนินงานในเรื่องต่อไปนี้ที่มีความสำคัญต่อการบรรลุเป้าหมาย Net Zero Emission ของประเทศไทยอันได้แก่ (1) นโยบายหลักของการแก้ปัญหาโลกร้อนอย่างยั่งยืน จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องให้ความสำคัญอันดับแรกกับการลด (Avoid) และการหลีกเลี่ยง (Reduce) การปลดปล่อยแกสเรือนกระจก โดยผ่านการใช้พลังงานคาร์ บอนต่ำ พลังงานทดแทน ไม่ว่าจะเป็นพลังงานไฟฟ้า ลม แสงแดดเป็นจุดเริ่มต้น และสุดท้ายตามด้วยการชดเชยคาร์บอน (Compensate) (2) การที่จะบริหารจัดการลดคาร์บอนอย่างยั่งยืนต้องมีทั้ง Speed และ Scale ซึ่งจำเป็นต้องดำเนินการในสิ่งเหล่านี้ไปพร้อมกัน คือ (2.1) มาตราฐานการขึ้นทะเบียนคาร์บอนเครดิทที่เทียบเท่าสากล (2.2) ตลาดการซื้อขายคาร์บอนเครดิททั้งในประเทศ และต่างประเทศ (2.3) ระบบการจัดเก็บภาษีคาร์ บอน (Carbon Tax) หรือ ETS (Emission Trading System) นำเงินภาษีที่ได้ไปใช้ในการวิจัยเพื่อลดแกสเรือนกระจก สนับสนุนการลงทุนในโครงการลดคาร์บอน รวมทั้งช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบจากภัยธรรมชาติ (4) การสนับสนุนการถ่ายทอดเทคโนโลยี และการลงทุนที่ได้กล่าวมาแล้ว (5) สำหรับภาคการเกษตรนอกเหนือจากการปลูกป่า ศึกษาความเป็นไปได้ในการใช้น้ำอย่างมีประสิทธิภาพในการปลูกข้าว และการทำ Carbon Farming สำหรับเกษตรกรรายย่อย
อีกส่วนสำคัญของงาน Shell Forum 2022 คือ ช่วง “The Change Makers” ซึ่งเป็นการเสวนาในหัวข้อ “All Roads Lead to Decarbonization” ที่ได้ผู้เชี่ยวชาญจากหลายภาคส่วนมาแบ่งปันเรื่องราวในการลดคาร์บอน โดย ดร. เจน ชาญณรงค์ ประธานชมรมผู้รับพระราชทานทุนมูลนิธิอานันทมหิดล ได้กล่าวถึงบทบาทของชมรมฯ ในการศึกษาการเกิดไฟป่าในตำบลแม่ปิง อมก๋อย แม่ตื่น จังหวัดเชียงใหม่ โดยมีพื้นที่เผาไหม้ซ้ำซากราว 10 ล้านไร่ เป็นป่า 6.5 ล้านไร่ ก่อให้เกิดปัญหาฝุ่น PM2.5 ซึ่งเกิดจากการขาดความรู้ ความเข้าใจในการทำการเกษตร และการจัดการขยะทางชีวภาพ โดยสามารถแก้ไขได้ด้วยการให้ความรู้ ความเข้าใจกับชาวบ้าน และเจ้าหน้าที่ในพื้นที่เกี่ยวกับกลไกธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม ซึ่งจะช่วยลดคาร์บอนไดออกไซด์ได้อีกทาง
ขณะที่ โศภชา ดำรงปิยวุฒิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท กันกุล เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด (มหาชน) เป็นตัวแทนภาคเอกชนที่พยายามนำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อลดคาร์บอนในการผลิตพลังงานอย่างยั่งยืนด้วยการเพิ่มอัตราส่วนการผลิตพลังงานสะอาดในระบบโครงข่ายไฟฟ้า โดยบริษัทฯ ตั้งเป้าที่จะผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลม และพลังงานแสงอาทิตย์ให้ได้รวม 1,000 เมกะวัตต์ ภายในปี พศ. 2567 พร้อมย้ำว่า ประเทศจะขับเคลื่อนไปสู่การใช้พลังงานสีเขียวได้ด้วยการผสานกันระหว่างการลงทุนด้านเทคโนโลยี การผ่อนปรนระเบียบข้อบังคับจากภาครัฐ การส่งเสริมอีโคซิสเตมแบบดิจิทอล และการสนับสนุนด้านเงินลงทุน เช่นเดียวกับ รศ. ดร. ยศพงษ์ ลออนวล ผู้ช่วยอธิการบดีฝ่ายพัฒนาความยั่งยืน มหาวิทยาลัยพระจอมเกล้าธนบุรี และนายกกิตติมศักดิ์ สมาคมยานยนต์ไฟฟ้าไทย (EVAT) ได้พูดถึงกระแสรถยนต์พลังงานไฟฟ้าที่กำลังมาแรงในปัจจุบัน ซึ่งหลายคนมองว่า ช่วยลดการปล่อยแกสคาร์บอนไดออกไซด์บนท้องถนนได้ไม่น้อย แต่เมื่อมองครบถ้วนทุกกระบวนการแล้ว กระบวนการผลิตรถยนต์ไฟฟ้ายังมีการผลิตคาร์บอนมากกว่ารถเครื่องยนต์สันดาป ซึ่งต้องอาศัยการพัฒนาด้านเทคโน โลยีต่อไป อย่างไรก็ตาม มองว่า ยังมีโอกาสสำหรับบริษัทขนาดเล็กของไทยในการเติบโตในตลาดนี้หากได้รับการสนับสนุน โดยต้องอาศัยภาครัฐในการออกกฎระเบียบและให้การอุดหนุน ส่วนภาควิชาการก็สนับสนุนผ่านการวิจัย และพัฒนา ภาคเอกชนสามารถช่วยได้ด้วยการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ รวมถึงสร้างความตระหนักรู้ในภาคประชาชน
สุดท้ายกับ อมินตา เพิ่มพูนวิวัฒน์ ผู้แทนเยาวชนแห่งประเทศไทยที่เข้าร่วมงาน Youth4Climate ที่ประเทศอิตาลี ในเดือนกันยายนปีที่แล้ว ซึ่งได้แบ่งปันแนวคิดในการให้การศึกษา และความเข้าใจแก่เยาวชนด้อยโอกาสในประเด็นความยั่งยืน โดยหลังจากนั้นได้ก่อตั้งโครงการจิตอาสาพี่สอนน้อง (Youth Mentorship Project) เพื่อลดช่องว่างทางสังคม พร้อมปลุกพลัง และสร้างความตระหนักรู้ถึงปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ พร้อมให้ทุกคนร่วมมือกันแก้ไขปัญหานี้อย่างยั่งยืน
นอกจากนี้ในช่วงสุดท้ายของงานซึ่งใช้ชื่อว่า “The Transformers” ซึ่งเปิดโอกาสให้บริษัท และองค์กรที่สร้างความเปลี่ยนแปลงได้สำเร็จมาร่วมบรรยาย เริ่มด้วย คาซีม ข่าน ผู้จัดการทั่วไป Shell Asia Pacific Nature-Based Solutions ให้ข้อมูลเกี่ยวกับเป้าหมายการลดการปล่อยคาร์บอนสุทธิให้เป็น 0 ของ Shell ด้วยการพึ่งพิงธรรมชาติ ระบบนิเวศ เพื่อให้ธรรมชาติช่วยดูดซับแกสคาร์บอนไดออกไซด์ ป้องกันการปล่อยแกสเรือนกระจก ช่วยสร้างสมดุลให้แก่ระบบนิเวศโดยรอบ โดยประเทศไทยมีพื้นที่ธรรมชาติที่ช่วยกักเก็บคาร์บอนได้ อาจพัฒนาได้จากการอนุรักษ์ และฟื้นฟูป่าชายเลน (Blue Carbon) การควบคุมการเผาป่า และเกษตรกรรมที่มีการจัด การมากขึ้น หรือใช้ระบบวนเกษตร เกียรติชาย ไมตรีวงษ์ ผู้อำนวยการองค์การบริหารจัดการแกสเรือนกระจก ได้พูดถึงเป้าหมายการลดแกสเรือนกระจกของประเทศไทยที่ได้เสนอไว้กับประชาคมโลกว่าจะลดลง 40 % ในปี พศ. 2573 และจะเข้าสู่สังคมเป็นกลางทางคาร์บอน ในปี พศ. 2593 โดยที่มีเป้าหมายปล่อยแกสเรือนกระจกสุทธิเป็น 0 ภายในปี พศ. 2608 ทั้งนี้ได้มีการอธิบายภาพจำลองของสถานการณ์ฯ เพื่อที่จะบรรลุเป้าหมายในแต่ ละช่วง สำหรับประเทศไทยการลดการปล่อยแกสเรือนกระจกยังอยู่บนพื้นฐานของความสมัครใจ (Voluntary Carbon Market) โดยปัจจุบันมีโครงการที่จดทะเบียนเข้าร่วมแล้วกว่า 100 โครงการ องค์กรฯ มีเป้าหมายยกระ ดับมาตรฐานโครงการลดแกสเรือนกระจกของประเทศ และขับเคลื่อนให้ไทยเป็นศูนย์กลางการซื้อขายคาร์บอนเครดิทในระดับอาเซียน ขณะเดียวกันเพื่อสนับสนุนให้ประเทศไทยมีความเป็นกลางทางคาร์บอนได้สำเร็จ จึงได้จัดตั้งเครือข่าย Carbon Neutral Network ขึ้นซึ่งปัจจุบันมีสมาชิก 256 องค์กรเข้าร่วมเป็นสมาชิก ผ่านความร่วมมือของ Climate Action Leading Organizations และ Climate Action Innovator โดยการจับมือแลกเปลี่ยนซื้อขายคาร์บอนเครดิทผ่าน Thailand Carbon Credit Exchange เนื่องจากต้นทุนในการลดแกสเรือนกระจกของแต่ละมาตรการไม่เท่ากัน ดังนั้นจึงต้องมีการกำหนดราคาเพื่อการซื้อขายแลกเปลี่ยนที่ยอมรับได้ นอกจากนี้ทางองค์กรฯ ยังมีแผนยกระดับโครงการ Thailand Voluntary Emission Reduction Program: T-VER เพื่อร่วมขับเคลื่อนตลาดคาร์บอนในไทยให้บรรลุเป้าหมายไปด้วยกัน และ มร. แอนดรูว์ โฮวาร์ด ผู้อำ นวยการอาวุโสด้านนโยบาย และกลยุทธ์ด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ จาก Verra ซึ่งเป็นองค์กรด้านสิ่งแวดล้อมที่ไม่แสวงหาผลกำไรในประเทศอเมริกา ได้ร่วมให้ข้อมูลเกี่ยวกับคาร์บอนเครดิท และตลาดคาร์บอนในเวทีโลก พร้อมให้คำแนะนำว่า การจัดตั้งตลาดคาร์บอนควรทำร่วมกับหน่วยงานที่ได้มาตรฐาน โดยภาครัฐควรเริ่มจากการตั้งเป้าในการลดการปล่อยคาร์บอน และวิธีการที่จะทำให้บรรลุเป้าหมายในประเทศก่อน หลังจากนั้นจึงให้ความช่วยเหลือกับโครงการอื่นๆ
เชลล์ประเทศไทยฯ ได้เริ่มจัดงาน Shell Forum ตั้งแต่ปี พศ. 2561 เพื่อสนับสนุนความร่วมมือระหว่างองค์กรจากหลากหลายภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคสังคม โดยมุ่งหวังให้เป็นเวทีพูดคุยและสร้างแนวร่วมปฏิบัติ เพื่อกระตุ้นให้คนในสังคมตระหนักถึงผลกระทบของการปล่อยแกสเรือนกระจกจากทั้งภาคอุตสาหกรรม และภาคประชาชน พร้อมเชิญชวนให้ทุกภาคส่วนมาร่วมมือกันสนับสนุนให้ประเทศไทยเข้าสู่สังคมคาร์บอนต่ำอย่างมั่นคง และยั่งยืนต่อไป
ABOUT THE AUTHOR
นุสรา เงินเจริญ
บรรณาธิการข่าวธุรกิจและสังคม รักการอ่าน ขอบงานเขียน ชอบพบปะผู้คน ได้มีโอกาสสัมภาษณ์ผู้บริหารในวงการยานยนต์ไทย ท่องเที่ยว เป็นประสบการณ์ที่ดี พร้อมได้ เปิดโลก ได้พัฒนาตัวในแวดวงสื่อสารมวลชน
ภาพโดย : บริษัทผู้ผลิตคอลัมน์ Online : ธุรกิจ (บก. ออนไลน์)