เรื่องน่ารู้
สิ่งที่ต้องทำ หลังขับลุยน้ำลึก !

วิธีตรวจเชครถ หลังลุยน้ำท่วม
1. หลังจากลุยน้ำ ให้เหยียบเบรคซ้ำๆ เพื่อรีดน้ำออกจากจานเบรค
2. เปิดฝากระโปรงรถขึ้น เพื่อสำรวจความเสียหายจากน้ำท่วม เช่น เศษขยะบังหน้าหม้อน้ำ หรือใบพัดลมไฟฟ้า จะได้เอาออก และควรเป่าลมเพื่อไล่น้ำ และความชื้น
3. ฉีดสเปรย์ไล่ความชื้น ตามขั้วสายไฟต่างๆ และขั้วแบทเตอรี
หากต้องลุยน้ำลึก เป็นเวลานาน
หลังจากลุยน้ำลึกมาระยะหนึ่ง ถ้ามองผิวเผินอาจไม่มีอะไร แต่แท้จริงแล้ว ร้ายแรงน้องๆ รถจมน้ำเลยทีเดียว ต่างกันที่ยังพอมีวิธีซ่อมแซมให้กลับมาใช้ใหม่ได้ เนื่องจากชิ้นส่วนที่สำคัญต่างๆ อาจถูก "น้ำ" เข้าไปก่อกวน เกิดความเสียหาย ไม่ว่าจะเป็นระบบเครื่องยนต์ ระบบขับเคลื่อน ระบบเบรค ระบบไฟ ระบบรองรับ หรือแม้แต่อุปกรณ์ภายในรถ เช่น เบาะ หรือพรมพื้นรถ จะมากน้อยแค่ไหนขึ้นอยู่กับระดับความลึกที่ลุยมาด้วย
เมื่อแน่ใจว่าไม่ต้องลุยน้ำอีกแล้ว แนะนำให้เปลี่ยนถ่ายน้ำมันต่างๆ ออกให้หมด เช่น น้ำมันเครื่อง น้ำมันเกียร์ น้ำมันเบรค น้ำมันเฟืองท้าย ฯลฯ แล้วรื้อชิ้นส่วนที่คิดว่าน้ำอาจเข้าไปขัง เช่น ชุดเบรค ลูกปืนล้อ ยางหุ้มเพลา ฯลฯ แล้วใช้ลมเป่าไล่น้ำให้แห้ง ฉีดน้ำยาไล่ความชื้น และอัดจาระบีเข้าไปใหม่
ถ้ารถจมน้ำ ต้องปฏิบัติดังนี้
1. ห้ามเปิด ON และสตาร์ทเครื่องยนต์
หลังจากรถผ่านการจมน้ำ เข้าใจว่าทุกคนคงคันไม้คันมืออยากลองสตาร์ทดูว่ามันจะติดหรือไม่ อยากให้ยับยั้งชั่งใจสักหน่อย เหตุที่ไม่ควรสตาร์ทเครื่องยนต์หลังรถจมน้ำ ก็เพราะรถยนต์ยุคใหม่มักใช้อุปกรณ์อีเลคทรอนิคส์มากมาย ในการควบคุมการทำงานของระบบต่างๆ ของเครื่องยนต์ รวมถึงระบบไฟฟ้าอื่นๆ ภายในรถด้วย
ระบบเหล่านี้จมน้ำเพียงครู่เดียวก็แย่แล้ว ยิ่งถ้าแช่น้ำอยู่นานวัน สนิมจะขึ้นได้ในส่วนที่เป็นเหล็ก ซึ่งทำให้ระบบการทำงานของส่วนนั้นเสียหายมาก ไม่ต้องถึงกับสตาร์ท แค่บิดสวิทช์กุญแจไปที่ ON ก็ไม่ควร เนื่องจากถ้าเราบิดไปที่ ON ไฟจะไปเลี้ยงระบบ ทำให้อาจเกิดการสปาร์ค หรือชอทได้
2. ถอดแบทเตอรีออก ด่วนที่สุด !
วิธีที่ถูกต้อง คือ ถอดขั้วแบทเตอรีออกก่อน เพื่อตัดระบบการจ่ายไฟ หลังจากนั้นดึงพวกสวิทช์ และฟิวส์ต่างๆ ออกให้หมด แล้วค่อยเป่าด้วยลม และใช้สเปรย์ไล่ความชื้นฉีดในชิ้นส่วนนั้นๆ เชคเครื่องยนต์ และระบบหล่อลื่น ถ้ารถจมนาน น้ำอาจเข้าเครื่องยนต์ได้ ต้องลากเข้าอู่ให้ช่างผ่าเครื่องออกมาดูสถานเดียว โดยดูว่าชิ้นส่วนไหนมีความเสียหายบ้าง
หากเสียหายให้เปลี่ยนอะไหล่ชิ้นส่วนนั้นๆ แล้วประกอบกลับเข้าไปตามเดิม ถ้าคิวที่อู่ยังไม่ว่าง ต้องเปลี่ยนถ่ายน้ำมันทุกชนิดที่อยู่ภายในรถออกทันที ทั้งน้ำมันเครื่อง น้ำมันเกียร์ น้ำมันคลัทช์ (ถ้ามี) น้ำมันพวงมาลัยเพาเวอร์ น้ำมันเบรค น้ำมันเฟืองท้าย เป็นต้น เพราะถ้ามีน้ำเข้าไปปะปนจะเป็นตัวการก่อสนิมที่ร้ายกาจที่สุด
3. ตรวจเชคระบบรองรับ และเบรค
เบื้องต้นให้ตรวจเชคชอคอับ ว่ายังทำงานได้ดีหรือไม่ พวกลูกหมากที่อัดจาระบีไว้ ควรอัดจาระบีเข้าไปใหม่ ส่วนระบบเบรค ต้องถอดออกมาดูว่าลูกปืนเป็นสนิมหรือไม่ ถ้าเป็นระบบเบรคแบบดุม ชิ้นส่วนภายในจะเป็นสนิม แนะนำให้เปลี่ยนใหม่ไปเลย ส่วนระบบเบรคแบบจาน ให้ถอดออกมาดูพวกลูกปืนต่างๆ และไล่น้ำมันเบรคใหม่
นอกจากสิ่งที่กล่าวมาข้างต้นแล้ว ยังต้องทำความสะอาดชิ้นส่วนต่างๆ เช่น เบาะ พรม ชิ้นส่วนภายใน และภายนอก ค่าซ่อมแซมรถยนต์ที่เสียหายจากการจมน้ำ อยู่ที่หลักหมื่นถึงหลักแสนบาท/คัน เนื่องจากทุกอย่างเสียหายหมด ต้องเริ่มนับหนึ่งใหม่ หากจะนำรถเข้าซ่อม เลือกศูนย์บริการ หรืออู่ที่ได้มาตรฐาน มีความเชี่ยวชาญในรถรุ่นนั้นๆ ดีพอ
อ่านต่อ : คิดให้ดี ! ถุงคลุมรถกันน้ำท่วม ใช้ได้ผลจริงหรือ ?
: เตรียมรถให้พร้อม ก่อนลุยฝน
: อาการเหินน้ำ ภัยอันตราย ที่อย่ามองข้าม !
: 5 ข้อห้าม ! เมื่อต้องขับรถลุยฝน 

