นอกเหนือจากรถสไตล์ย้อนยุค คือ เทคโนโลยีแห่งอนาคต ตั้งแต่ปีกหลัง และดิฟฟิวเซอร์จากรถแข่ง Ferrari 499P Le Mans Hypercar โป่งล้อมีช่องระบายลม พร้อมเทคโนโลยีด้านอากาศพลศาสตร์ที่จดทะเบียนสิทธิบัตรใหม่ โดยมีช่องลมด้านข้างที่จัดทิศทางลมจากด้านหน้าผ่านห้องคนขับ และเหนือไซด์พอร์ทด้านข้างตัวรถ
ขุมพลังเป็นเครื่องยนต์ แบบ วี 6 สูบ เทอร์โบคู่ ความจุ 3.0 ลิตร จาก 296 GTB/GTS และในรถแข่ง GT3 กับ 499P โดยถูกปรับแต่งอย่างไร้ขีดจำกัด ให้กำลังสูงสุด 1,030 แรงม้า ที่ 9,000 รตน. แรงบิดสูงสุด 61.8 กก.-ม. ที่ 5,500 รตน.
ระบบส่งกำลัง 8 จังหวะ คลัทช์คู่ จากรถแข่งสูตร 1 ทำงานร่วมกันกับมอเตอร์ไฟฟ้า 3 ตัว ช่วยขับล้อหลัง 1 ตัว และอีก 2 ตัว แยกขับล้อหน้า โดยมอเตอร์ไฟฟ้าทั้ง 3 ตัว ให้กำลัง 326 แรงม้า เฉพาะล้อหลังมีแรงบิดรวม 111.8 กก.-ม. และมีน้ำหนักตัว 1,250 กก. ซึ่งใกล้เคียงกับ Mazda MX-5 และมีสัดส่วนการกระจายน้ำหนักหน้า/หลัง เท่ากับ 43.5/56.5 %
Ferrari คาดว่า Vision Gran Turismo ทำอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ได้ภายใน 2.0 วินาที และอัตราเร่งจาก 0-200 กม./ชม. ได้ภายใน 5.0 วินาที มีความเร็วสูงสุดกว่า 350 กม./ชม. และทำเวลาต่อรอบที่สนาม Fiorano ต่ำกว่า 1 นาที 10 วินาที
Ferrari Vision Gran Turismo เปิดตัวในการแข่งขัน Gran Turismo World Finals ที่ มนเต การ์โล และพร้อมใช้งานในวันที่ 23 ธันวาคม 2565 ซึ่งเป็นวันเปิดตัวรถจำลองขนาดเท่าจริง ที่พิพิธภัณฑ์ใน มาราเนลโล

