ธุรกิจ
KTC สร้างสถิติใหม่ กำไร 7,140 ล้านบาท
KTC แจ้งผลการดำเนินงานปี 2565 ดีกว่าประมาณการ สร้างสถิติใหม่ทำกำไรสูงสุดอีกครั้ง โดยเฉพาะงบกิจกรรมมีกำไร 7,140 ล้านบาท เพิ่มขี้น 14.2 % และงบการเงินรวมมีกำไรสุทธิ 7,079 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20.4 % ขณะที่พอร์ทสินเชื่อมีมูลค่า 104,194 ล้านบาท เตรียมขับเคลื่อนองค์กรสู่รากฐานที่แข็งแกร่งด้วยแนวคิด “A Transition to The New Foundation” ตอกย้ำความเป็นองค์กรที่ได้รับความไว้วางใจ (Trusted Organization ) กับทุกกลุ่มผู้มีส่วนได้เสีย
ระเฑียร ศรีมงคล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร KTC หรือบริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว และการบริโภคภาคเอกชนจากช่วงไตรมาสสุดท้ายปี 2565 ถึงปัจจุบัน ทำให้เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวตามลำดับ การจ้างงาน และรายได้แรงงานปรับตัว ส่งผลให้ภาพรวมของธุรกิจบัตรเครดิท และสินเชื่อบุคคลกลับมาเติบโตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งสะท้อนถึงความเชื่อมั่นของผู้บริโภค และเป็นผลให้ความต้องการในวงเงินสินเชื่อเพื่อผู้บริโภคเติบโต
ปี 2565 KTC ได้ดำเนินธุรกิจหลักตามแผนกลยุทธ์ และเป้าหมายในด้านต่างๆ และมีผลการดำเนินงานดีกว่าที่คาดการณ์ในหลายด้าน เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2564 ทั้งพอร์ทลูกหนี้บัตรเครดิทที่ขยายตัว 15.4 % และพอร์ทสินเชื่อบุคคลที่ขยายตัว 10.4 % รวมทั้งปริมาณการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิท KTC มีอัตราเติบโตอย่างเห็นได้ชัดถึง 21.7 % คิดเป็นมูลค่า 238,257 ล้านบาท สูงกว่างวดเดียวกันของปี 2562 ซึ่งเป็นช่วงก่อนเกิดการแพร่ระบาดของ COVID-19 และมีแนวโน้มยอดใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิทจะเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในปี 2566 ในขณะที่ยอดลูกหนี้ใหม่ของสินเชื่อ “KTC พี่เบิ้ม รถแลกเงิน” มีมูลค่า 1,055 ล้านบาท หลังจากได้ประกาศปรับประมาณการในช่วงไตรมาสที่ 3/2565 อย่างไรก็ตาม KTC จะเน้นความร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับธนาคารกรุงไทย เพื่อให้สินเชื่อ “KTC พี่เบิ้ม รถแลกเงิน” บรรลุเป้าลูกหนี้ใหม่ที่ 9,000 ล้านบาท เมื่อสิ้นปี 2566
ในปีที่ผ่านมา พอร์ทบัตรเครดิท และพอร์ทสินเชื่อบุคคลของ KTC จะมีการขยายตัว แต่ KTC ยังคงเข้มงวดกับเกณฑ์การคัดเลือกลูกค้าใหม่ตั้งแต่ต้นทาง เพื่อได้พอร์ทสินเชื่อที่มีคุณภาพ และมีอัตราส่วนหนี้เสียที่ต่ำ อีกทั้งการตั้งสำรอง และตัดหนี้สูญได้ปรับให้เป็นไปตามลักษณะของพอร์ทในแต่ละธุรกิจอย่างเหมาะสม ครอบคลุมความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นในอนาคต และยังสามารถบริหารจัดการต้นทุนทางการเงินให้ลดลง ขณะที่ค่าใช้จ่ายในการบริหารเพิ่มขึ้นจากการจัดหาสมาชิกใหม่ และกิจกรรมการตลาดที่สูงขึ้น เพื่อลงทุนในการสร้างพอร์ท สำหรับรายได้รวมเติบโตจากรายได้ดอกเบี้ย และรายได้ค่าธรรมเนียมที่ขยายตัวตามการเพิ่มขึ้นของธุรกิจ ส่งผลให้ KTC ทำกำไรสูงเป็นประวัติการณ์ได้อีกครั้ง
ผลประกอบ KTC ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2565 มีฐานสมาชิกรวม 3,289,839 บัญชี เงินให้สินเชื่อแก่ลูกหนี้ และดอกเบี้ยค้างรับรวม 104,194 ล้านบาท อัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพต่อเงินให้สินเชื่อรวม (NPL) 1.8 % ธุรกิจบัตรเครดิท 2,550,592 บัตร เงินให้สินเชื่อแก่ลูกหนี้บัตรเครดิท 69,462 ล้านบาท อัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพต่อเงินให้สินเชื่อ (NPL) ลูกหนี้บัตรเครดิท 1.1 % ธุรกิจสินเชื่อบุคคล 739,247 บัญชี เงินให้สินเชื่อแก่ลูกหนี้สินเชื่อบุคคล 32,283 ล้านบาท อัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพต่อเงินให้สินเชื่อ (NPL) ลูกหนี้สินเชื่อบุคคลเท่ากับ 2.8 % ลูกหนี้ตามสัญญาเช่าของ บริษัท กรุงไทย ธุรกิจลีสซิ่ง จำกัด (KTBL) มูลค่า 2,449 ล้านบาท อัต ราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพต่อเงินให้สินเชื่อ (NPL) ลูกหนี้ตามสัญญาเช่า เท่ากับ 8.9 % ซึ่ง NPL ของลูกหนี้ตามสัญญาเช่าลดลงอย่างมีนัยสำคัญ จากการตัดหนี้สูญลูกหนี้คงค้างเดิมซึ่งตั้งสำรองเต็มจำนวนแล้ว และมุ่งเน้นการหาลูกค้าใหม่ในกลุ่มสินเชื่อที่เป็นรถขนาดใหญ่ใช้ในอุตสาหกรรม (Commercial Loan) เพิ่มขึ้นในปี 2566 โดยสิ้นปี 2565 มีพอร์ทสินเชื่อใหม่ จำนวน 1,372 ล้านบาท
ในปี 2565 KTC มีรายได้รวม 23,231 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.3 % เมื่อเทียบกับปี 2564 จากรายได้ดอกเบี้ย (รวมค่าธรรมเนียมในการใช้วงเงิน) และรายได้ค่าธรรมเนียมที่เพิ่มขึ้น 5.6 % และ 15.8 % ตามลำดับ โดยมีส่วนของหนี้สูญได้รับคืน 3,421 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.7 % สำหรับค่าใช้จ่ายรวมเท่ากับ 14,377 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.3 % จากค่าใช้จ่ายในการบริหารเพิ่มขึ้น 10.8 % ซึ่งส่วนใหญ่มาจากค่าใช้จ่ายด้านการตลาดที่เพิ่มขึ้น 34.5 % และในส่วนค่าธรรมเนียมจ่าย และบริการที่เพิ่มขึ้น 16.2 % ในขณะที่ผลขาดทุนด้านเครดิทที่คาดว่าจะเกิดขึ้นลดลง 10.8 % และต้นทุนทางการเงินลดลง 1.6 %
KTC ยังเน้นการบริหารต้นทุนทางการเงินให้มีประสิทธิภาพ โดยสิ้นปี 2565 KTC มีเงินกู้ยืมทั้งสิ้น 61,635 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2564 เท่ากับ 13.3 % โดยมีโครงสร้างแหล่งเงินทุนจากเงินกู้ยืมระยะสั้น และระยะยาว คิดเป็นสัดส่วน 24 %:76 % ตามลำดับ เป็นเงินกู้ยืมจากธนาคารกรุงไทย 6,000 ล้านบาท สถาบันการเงินอื่น และสถาบันการเงินที่เกี่ยวข้อง 10,179 ล้านบาท และการออกหุ้นกู้ จำนวน 45,456 ล้านบาท โดยมีต้นทุนการเงินที่ 2.4 % อัตราส่วนของหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้นอยู่ที่ 2.2 เท่า ซึ่งต่ำกว่าภาระผูกพันที่กำหนดไว้ที่ 10 เท่า และมีวงเงินสินเชื่อคงเหลือ (Available Credit Line) จำนวน 20,709 ล้านบาท
สำหรับแผนกลยุทธ์ในปี 2566 เพื่อเตรียมขับเคลื่อน KTC ไปสู่รากฐานองค์กรที่แข็งแกร่ง “A Transition to The New Foundation” KTC จะปรับเปลี่ยนครั้งใหญ่ ทั้งโครงการสร้างองค์กร กลยุทธ์ กระบวนการ เทคโนโล ยี และบริการ ใน 3 แกนสำคัญ คือ 1) บริหารจัดการโครงสร้างให้สอดคล้องกัน (Enterprise Architecture) ทั้งธุรกิจ ระบบไอที และระบบปฏิบัติการ 2) ส่งเสริมให้บุคลากรพัฒนาทักษะสำคัญในด้านต่างๆ (Enterprise Skill Assets) ให้พร้อมที่จะก้าวไปกับ KTC และ 3) การบริหารจัดการข้อมูล (Enterprise Data Assets) ตั้งแต่การวางแผน จัดเก็บ การเข้าถึง และใช้ข้อมูล ตลอดจนการทำลายข้อมูล เน้นความปลอดภัย ถูกต้อง และโปร่ง ใส เพื่อให้ KTC มีฐานข้อมูลคุณภาพ สนับสนุนการดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพ
KTC ยังเล็งเห็นโอกาส และมุ่งมั่นที่จะเติบโตในธุรกิจรับชำระค่าสินค้า และบริการ (Payment Business) และธุรกิจการให้สินเชื่อ (Retail Lending Business) ให้ความสำคัญกับการเพิ่มขึ้นของพอร์ทสินเชื่อ “KTC พี่เบิ้ม รถแลกเงิน” เพื่อสร้างฐานลูกค้าให้มีปริมาณที่มากเพียงพอในการสร้างกำไรที่มั่นคง ขณะที่ธุรกิจบัตรเครดิท และสินเชื่อบุคคลจะเติบโตไปตามอัตราเร่งของธุรกิจนั้นๆ ยังคงมุ่งเน้นการหาลูกค้าใหม่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง รวมทั้งสร้างสรรค์กิจกรรมทางการตลาดให้สอดคล้องกับบริบทสังคมที่เปลี่ยนแปลง ซึ่งอาจส่งผลให้ค่าใช้จ่ายทางการตลาดสูงขึ้น อีกทั้งจะมีการตั้งสำรองเพิ่มตามพอร์ทลูกหนี้ที่ขยายตัว ในส่วนของสภาพเศรษฐกิจที่จะเกิดขึ้น KTC อาจต้องเผชิญกับต้นทุนการเงินที่สูงขึ้น รวมทั้งค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นจากด้านการตลาด และการสำรองตามคุณภาพของพอร์ทลูกหนี้ สำหรับ Loyalty Platform “MAAI by KTC” ซึ่งอยู่ในกลุ่มโมเดลธุรกิจที่มีการพัฒ นาต่อเนื่อง ถึงแม้จะยังไม่สร้างรายได้ในช่วงแรกๆ KTC ยังเชื่อมั่นว่าอัตราการเติบโตของปริมาณการใช้จ่ายผ่านบัตร และมูลค่ายอดลูกหนี้ที่ขยายตัวจะบรรลุเป้าหมายได้ตามคาด
ในส่วนของ KTBL จะเน้นการปล่อยสินเชื่อ Commercial Loans เช่น รถบรรทุก เป็นต้น โดยตั้งเป้าหมายยอดสินเชื่อใหม่ในปี 2566 เท่ากับ 3,000 ล้านบาท รวมทั้งจะยังนำเสนอผลิตภัณฑ์สินเชื่อเช่าซื้อให้แก่ลูกค้ารายย่อย แต่จะพิจารณาการปล่อยสินเชื่อตามคุณภาพของลูกค้า โดยคาดว่าในปี 2566 ธุรกิจจะสามารถเริ่มสร้างผลกำไรได้
เรื่องโดย : นุสรา เงินเจริญ
ภาพโดย : บริษัทผู้ผลิต
คอลัมน์ Online : ธุรกิจ (บก. ออนไลน์)
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/online/438564