สำหรับปีนี้ เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย)ฯ จะเดินหน้าด้วยวิสัยทัศน์ “Ambition to Lead” ที่สะท้อนผ่านแผนการดำเนินธุรกิจในทุกมิติ ทั้งในเรื่องของความยั่งยืน (Sustainability) สู่การเป็นองค์กรที่มีความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี 2582 ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายความยั่งยืนของประเทศไทย ที่ตั้งเป้าหมายเป็นประเทศที่มีความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี 2593 รวมถึงนโยบาย 30@30 ของบอร์ดอีวี ที่จะขยายสัดส่วนของรถยนต์พลังงานไฟฟ้าในประเทศให้เป็น 30 % ภายในปี 2572 ทาง Mercedes-Benz ได้ตั้งเป้าหมายในการทำให้รถทุกรุ่นที่อยู่ในพอร์ทของเรา เป็นรถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100 % ภายในปี 2572 เช่นกัน
และสิ่งสำคัญในการทำให้เราบรรลุเป้าหมายด้านความยั่งยืน คือ การนำเสนอรถยนต์ที่ใช้พลังงานไฟฟ้า (Electrification) ให้แก่ผู้บริโภคในระดับโลก เราได้นำเสนอ Vision EQXX รถยนต์ต้นแบบพลังงานไฟฟ้า 100 % ที่ผ่านการทดสอบการขับขี่ในสภาพแวดล้อมจริงด้วยระยะทางมากกว่า 1,000 กิโลเมตร ต่อการชาร์จไฟเต็มเพียง 1 ครั้ง สะท้อนให้เห็นว่าเราได้นำยนตรกรรมแห่งอนาคตมานำเสนอให้ทุกคน โดยในประเทศไทย Mercedes-Benz เปิดตัว EQS 500 4MATIC AMG Premium ที่ถือเป็นรถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100 % ที่มีระยะทางการขับขี่ด้วยไฟฟ้ามากที่สุดในประเทศไทย ด้วยระยะทางกว่า 702 กิโลเมตร ต่อจากชาร์จไฟเต็ม 1 ครั้ง ตามมาตรฐาน WLTP ซึ่งผู้บริโภคชาวไทยทุกคนสามารถเป็นเจ้าของยนตรกรรมระดับโลกนี้ได้ที่ผู้จำหน่าย Mercedes-Benz อย่างเป็นทางการ ทั่วประเทศไทย
นอกจากนี้ ยังได้เปิดตัวยนตรกรรมในรูปแบบพลัก-อิน ไฮบริด C 350 e AMG Dynamic ที่เป็นรถ PHEV ในระดับลักชัวรี ที่วิ่งได้ไกลที่สุดในประเทศไทย ด้วยระยะทางเกินกว่า 100 กิโลเมตร ต่อการชาร์จไฟเต็ม 1 ครั้ง
พร้อมกันนี้ ยังวางแผนขยาย EV Portfolio ในประเทศไทย ผ่านการเปิดตัวรถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100 % ทั้งหมด 3 รุ่น เริ่มด้วย EQB 250 AMG Line หนึ่งในรถภายใต้แบรนด์ Mercedes-EQ ที่ขายดีเป็นอันดับต้นๆ ของโลก รวมถึงการสนับสนุนโครงสร้างพื้นฐานของรถยนต์พลังงานไฟฟ้า ผ่านการร่วมมือกับผู้ผลิต และผู้ให้บริการด้านสถานีชาร์จพลังงานไฟฟ้าชั้นนำ ในประเทศไทย
Mercedes-Benz มุ่งมั่นในการนำเสนอเทคโนโลยี และนวัตกรรมที่ล้ำสมัย (Technology and Innovation) สู่อุตสาหกรรมยานยนต์ในประเทศไทย ซึ่งพร้อมมอบประสบการณ์ที่เหนือระดับในทุกมิติ ไม่ว่าจะเป็น การนำเสนอนวัตกรรมอย่าง จอแสดงผลแบบ Hyperscreen ระบบ MBUX เจเนอเรชันใหม่ ระบบไฟหน้า Digital Light แบบ Ultra high range beam ที่ส่องสว่างได้ไกลมากกว่า 600 เมตร และแพคเกจระบบช่วยเหลือการขับขี่ (Driving Assistance package) รวมถึงระบบลดวงเลี้ยวรถยนต์ (Rear Axle Steering) และนอกเหนือจากประสบการณ์ที่ทุกคนจะได้สัมผัสผ่านยนตรกรรมของ Mercedes-Benz แล้ว การมอบประสบการณ์แบบลักชัวรี (Luxury Experience) ให้แก่ลูกค้าก็ถือเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่สำคัญ โดยเรามีการสร้างการสื่อสารทั้งภายนอก และภายในองค์กร ในการประสานการทำงาน เพื่อทำให้มั่นใจได้ว่า คนในองค์กร และพาร์ทเนอร์ของเราจะสามารถมอบประสบการณ์ที่เหนือความคาดหมาย และสอดแทรกความเป็นแบรนด์ลักชัวรีในทุกมิติ ตามมาตรฐานของ Mercedes-Benz ให้แก่ลูกค้าคนพิเศษของเราทุกคนอย่างไร้ที่ติ
บีเยิร์น กุซเทรา รองประธานบริหารฝ่ายขายและการตลาด บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า การดำเนินธุรกิจ ภายใต้วิสัยทัศน์ “Ambition to Lead” ทาง เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย)ฯ ได้นำมาปรับใช้ในการสร้างกลยุทธ์ทางการตลาด และการสื่อสารในรูปแบบใหม่ เริ่มจากการเปลี่ยนคอนเซพท์ของการจัดแสดงรถยนต์ในงานบางกอก อินเตอร์เนชันแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 44 โดยในปีนี้เราได้สร้างการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในการนำเสนอยุคใหม่ Mercedes-Benz ผ่านการจัดแสดงรถยนต์บนพื้นที่ใหม่ ที่บูธหมายเลข A19 บริเวณฮอลล์ 1 อิมแพคท์ ชาลเลนเจอร์ ซึ่งมีการสร้างการรับรู้ให้สาธารณะ ผ่านแคมเปญการสื่อสาร ทั้งในช่องทางออนไลน์ และออฟไลน์ โดยความพิเศษของบูธ Mercedes-Benz ในปีนี้ จะถูกออกแบบให้สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ “Ambition to Lead” พร้อมมอบประสบการณ์ที่เหนือระดับให้แก่ผู้ที่เข้ามาเยี่ยมชมบูธ ตั้งแต่ก้าวแรกที่ก้าวเข้ามาในบูธของเรา ไปจนถึงขั้นตอนที่ลูกค้าตัดสินใจเป็นเจ้าของยนตรกรรรมของ Mercedes-Benz
นอกจากนี้ ภายในบูธจะถูกแบ่งโซนในการจัดแสดงรถยนต์ ซึ่งมีให้ชมครบทุกรุ่น ตั้งแต่รถยนต์ในแบรนด์ Mercedes-Benz ในกลุ่มของรถ ICE และ PHEV รถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100 % ภายใต้แบรนด์ Mercedes-EQ รถยนต์สมรรถนะสูงในกลุ่ม Mercedes-AMG รถยนต์ระดับ Top-End Luxury อย่าง Mercedes-Maybach พร้อมด้วยยนตรกรรมระดับตำนานอย่าง SL และ G-Class ซึ่งคนไทยทุกคนสามารถเป็นเจ้าของได้ในงานบางกอก อินเตอร์เนชันแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 44 หรือที่ผู้จำหน่าย Mercedes-Benz อย่างเป็นทางการ ทั่วประเทศไทย
พุทธิ ตุลยธัญ รองประธานบริหาร ฝ่ายบริการลูกค้า บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ในส่วนงานของฝ่ายบริการลูกค้าเราได้เตรียมพร้อมในการนำเสนอผลิตภัณฑ์ดิจิทอลใหม่ๆ ใน Mercedes Me Store ที่ลูกค้าสามารถซื้อเพิ่มเติมได้ตามความต้องการ เช่น Rear Axle Steering ที่เป็นการลดวงเลี้ยวรถยนต์ เพื่อการควบคุมรถได้ง่ายยิ่งขึ้น Active Distance Assist Distronic ระบบควบคุมระยะห่างของรถยนต์ขณะขับขี่ หรือ Individualization ที่เป็นการเพิ่มความบันเทิงในรูปแบบเฉพาะตัว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเลือกบรรยากาศภายในรถ ทั้งเสียง และภาพที่แสดงบนหน้าจอ หรือมีนีเกมส์ ซึ่งลูกค้าสามารถเลือกได้ตามความต้องการ
นอกจากนี้ ในปีนี้จะมีการนำเสนอระบบการจ่ายเงินค่าบริการผ่านระบบออนไลน์ เพื่อให้ครอบคลุมในทุกสถานะของรถ เมื่อนำรถเข้ารับบริการเพิ่มเติมจากบริการระบบออนไลน์เดิม ที่มีในส่วนของการนัดหมายเข้ารับบริการ และแจ้งสถานะของรถขณะกำลังเข้ารับบริการ ยิ่งไปกว่านั้น เรายังมีบริการผู้ช่วยส่วนตัว ด้วยการส่งข้อความแจ้งเตือนเมื่อรถถึงระยะเข้ารับบริการ หรือตรวจเชคระบบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นแบทเตอรี หรือระบบเบรค รวมถึงข้อเสนอพิเศษ และกิจกรรมต่างๆ ที่จัดขึ้นเพื่อมอบให้แก่ลูกค้ารถยนต์ Mercedes-Benz โดยเฉพาะ และในส่วนผลิตภัณฑ์อื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นอะไหล่แท้ อะไหล่ StarParts หรือ Reman สำหรับรถยนต์ที่หมดระยะรับประกัน ผลิตภัณฑ์ยางที่ได้รับการรับรองจาก Mercedes-Benz MO/MOE รวมถึงการบริการซ่อมสี และตัวถัง ตามมาตรฐานของ Mercedes-Benz และโปรแกรม MBSP แบบต่างๆ ที่ครอบคลุมทุกความต้องการตามการใช้งานของลูกค้า เพื่อมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุด และคงประสิทธิภาพสูงสุดตลอดการใช้งานรถยนต์ Mercedes-Benz ในประเทศไทย
มาร์ทิน ชเวงค์ กล่าวเสริมอีกว่า อีกหนึ่งความมุ่งมั่นของเรา คือ การสร้างยอดขายที่เติบโตในประเทศไทย ในปีนี้เราคาดหวังตัวเลขการเติบโตแบบ Double-Digit ผ่านการนำเสนอรถยนต์ทั้งหมด 8 รุ่น โดยไฮไลท์สำคัญของปีนี้ คือ การเปิดตัวรถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100 % ภายใต้แบรนด์ Mercedes-EQ ลงตลาดประเทศไทยทั้งหมด 3 รุ่น เริ่มด้วย EQB 250 AMG Line รถเอสยูวีไฟฟ้า 5 ที่นั่ง ที่ผสานความหรูหรา และความสะดวกสบายในทุกมิติ ตอบโจทย์การใช้งานที่หลากหลาย พร้อมเดินทางในทุกเส้นทางด้วยการขับขี่ที่ไร้มลพิษ (Zero-emission) ขับเคลื่อนด้วยขุมพลังมอเตอร์ไฟฟ้าพร้อมแบทเตอรีแรงดันสูง วิ่งได้ไกลถึง 460 กิโลเมตร ตามมาตรฐาน WLTP ผลิต และนำเข้าแบบ CBU พร้อมเปิดราคาจำหน่ายที่ 3,020,000 บาท
"Mercedes-Benz จะมุ่งมั่นพัฒนายนตรกรรมที่เหนือระดับที่มาพร้อมการส่งมอบประสบการณ์ที่ดีเยี่ยมให้แก่ลูกค้า สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ “Ambition to Lead” เพื่อตอกย้ำความเป็นผู้นำในการยกระดับอุตสาหกรรมยานยนต์ในประเทศไทย”