ธุรกิจ
Triumph เปิดตัวสปอร์ทเนเคดไบค์ 2 รุ่น
Triumph Motorcycles เดินหน้าการเป็นแบรนด์พรีเมียมบิกไบค์ชั้นนำสัญชาติอังกฤษ ตามสโลแกน “For The Ride” ที่มีผลิตภัณฑ์ และบริการ ครอบคลุมตอบสนองไลฟ์สไตล์การขับขี่ระดับพรีเมียมที่ทุกคนสามารถสัม ผัสได้ เปิดตัว 2 จักรยานยนต์ตระกูลโรดสเตอร์รุ่นใหม่แห่งปี 2023 ได้แก่ “Street Triple 765 RS” และ “Street Triple 765 Moto2 Edition” ที่มาพร้อมความสมบูรณ์แบบ ทรงพลัง และสเปคสูงที่สุด ไม่ว่าจะเป็นการอัพ เกรดเครื่องยนต์ 3 สูบ 765 ซีซี อย่างมีนัยสำคัญ ทำให้จักรยานยนต์มีสมรรถนะสูงขึ้น ผสานกับพละกำลังระดับแนวหน้า ทำให้มีแรงบิดที่เพิ่มขึ้น และการตอบสนองที่ดีขึ้น เสริมด้วยรูปลักษณ์สไตล์ใหม่ที่ดุดัน การออกแบบตามหลักสรีรศาสตร์ที่ได้รับการปรับปรุง ทั้งหมดนี้ทำให้เป็นจักรยานยนต์เนเคดสปอร์ท 2 รุ่น ที่มาพร้อมการควบคุมที่คล่องตัว และแม่นยำที่สุด ในงานบางกอก อินเตอร์เนชันแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 44 อาคารชาลเลนเจอร์ ฮอลล์ 1 อิมแพคท์ เมืองทองธานี ระหว่างวันที่ 22 มีนาคม-2 เมษายน 2566
ชินศักดิ์ กิตติอมรกุล ผู้จัดการฝ่ายปฏิบัติการเชิงพาณิชย์ บริษัท ไทรอัมพ์ มอเตอร์ไซเคิลส์ (ไทยแลนด์) จำกัด กล่าวว่า สำหรับงาน บางกอก อินเตอร์เนชันแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 44 Triumph จัดเต็มอีกครั้ง เอาใจสาวกที่ชื่นชอบความเร็วแรง ด้วยการเปิดตัว 2 จักรยานยนต์ในกลุ่ม Roer อีกเซกเมนท์ขึ้นชื่อของ Triumph ได้แก่ “Street Triple 765 RS” และ “Street Triple 765 Moto2 Edition” สปอร์ทเนเคดไบค์รุ่นใหม่ล่าสุดปี 2023 ที่ทรงพลัง และรวมความเป็นที่สุดในทุกด้าน โดยทั้ง 2 รุ่น มาพร้อมเครื่องยนต์ 3 สูบ ขนาด 765 ซีซี อันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะที่ได้รับการอัพเกรดจากโปรแกรมพัฒนาเครื่องยนต์การแข่งขัน Moto2 ให้เครื่องยนต์มีลักษณะเฉพาะมากกว่าที่เคย โดยส่งมอบพละกำลังสูงสุด 130 แรงม้า ที่ 12,000 รตน. และแรงบิดสูงสุด 8.20 กก.-ม. หรือ 80 นิวตัน-เมตร ที่ 9,500 รตน. ในขณะที่ลูกสูบ ก้านสูบ และพินลูกสูบใหม่ ถูกจับคู่กับห้องเผาไหม้ของเครื่องยนต์ใหม่ที่ได้รับการปรับแต่งมาอย่างเหมาะสม เพื่อเพิ่มขีดจำกัดแรงดันกระบอกสูบ สุดท้าย คือ พละกำลังที่มากขึ้นด้วยวาล์ว และเพลาลูกเบี้ยวใหม่ที่มาช่วยเพิ่มการยกวาล์ว เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดูดระบบเผาไหม้ของท่อไอเสีย ส่งมอบเสียงที่เร้าใจ และโดดเด่น รวมถึงอัตราส่วนกระปุกเกียร์ใหม่ เพื่อประสิทธิภาพ และการตอบสนองที่ดีขึ้น
นอกจากนี้ ทั้ง 2 รุ่นยังได้ถูกออกแบบเพื่อรองรับการขับขี่ตามหลักสรีรศาสตร์แบบใหม่ มีรูปทรงที่ปรับปรุงใหม่พร้อมมุมลาดเอียงที่ชันขึ้น และส่วนหลังที่ยกขึ้นเพื่อการเลี้ยวที่ว่องไว และเร็วขึ้น ด้านโครงรถน้ำหนักเบา และสวิงอาร์มที่มีรูปทรงเหมือนปีกนก ช่วยสร้างความมั่นใจในการขับขี่ โดยรุ่น RS มาพร้อมแฮนด์บาร์รุ่นใหม่ที่กว้างขึ้น 12 มม. ความสูงของเบาะนั่ง 836 มม. ส่วนรุ่น Moto2 Edition ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากการแข่งขัน มาพร้อมแฮนด์รถแบบคลิพออน ซึ่งต่ำกว่า 80 มม. มีขยับไปข้างหน้า 50 มม. และความสูงของเบาะนั่ง 839 มม. ซึ่งทั้ง 2 รุ่น สามารถลดเบาะนั่งได้อีก 10 มม. โดยปรับแต่งให้เข้ากับระบบกันสะเทือนหลัง ตลอดจนยังมีอุป กรณ์เสริมเบาะนั่งต่ำแบบใหม่
ในขณะที่ความปลอดภัยอัดแน่นมาให้เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน โดยทั้ง 2 รุ่นมาพร้อมคาลิเพอร์คู่หน้าแบบเรเดียลโมโนบลอค 4 สูบ ของ Brembo Stylema พร้อมจานเบรคคู่ขนาด 310 มม. รวมถึงเบรค Brembo MCS ที่เข้าคู่กัน พร้อมคันโยกที่ปรับได้ ในขณะที่คาลิเพอร์แบบลูกสูบเดี่ยวของ Brembo ช่วยควบคุมที่ด้านหลัง เพื่อความเสถียรในการเบรคที่ดีขึ้น และลดระยะการหยุดที่แม่นยำมากยิ่งขึ้น ส่วนระบบกันสะเทือนคุณภาพสูงในรุ่น RS มาพร้อมชอคอับสูบคู่แบบหัวกลับจาก Showa ขนาด 41 มม. และชอคอับหลังพร้อมกระปุกเก็บน้ำมันจาก Öhlins ส่วนรุ่น Moto2 Edition นำเสนอความสามารถพร้อมสำหรับสนามแข่งด้วยชอคอับหน้าแบบหัวกลับของ Öhlins ขนาด 43 มม. และชอคอับหลังพร้อมกระปุกเก็บน้ำมันจาก Öhlins ที่มาพร้อมระยะยุบตัวของล้อหน้าในทั้ง 2 รุ่น คือ 115 มม. และมีระยะยุบตัวของล้อหลัง 131.2 มม. ตลอดจนยางประสิทธิภาพสูง Pirelli Diablo Supercorsa SP V3 ในทั้ง 2 รุ่นที่ติดตั้งอุปกรณ์มาตรฐานสำหรับใช้งานบนท้องถนนทั่วไป ซึ่งส่งมอบระดับการยึดเกาะเหมือนอยู่บนสนามแข่ง รวมถึงการทรงตัวในความเร็วสูง
ชินศักดิ์ กล่าวเสริมว่า ด้านเทคโนโลยีเพื่อผู้ขับขี่ทั้ง 2 รุ่น มีระบบเบรค ABS ในขณะเข้าโค้ง พร้อมระบบตรวจจับแรงเฉื่อย IMU (Inertial Measurement Unit) ในตัว เพื่อการควบคุม ABS ที่ดียิ่งขึ้น ระบบควบคุมการยึดเกาะถนนในขณะเข้าโค้ง ระบบช่วยเปลี่ยนเกียร์แบบไม่ใช้คลัทช์ (Triumph Shift Assist) ระบบ Slip และ Assist Clutch ระบบควบคุมการยกล้อหน้า ระบบไฟ LED ที่โดดเด่น รวมถึงมี 5 โหมดการขับขี่ ได้แก่ Road, Rain, Sport, Rider-Configurable และ Track เพื่อให้เหมาะกับสไตล์การขี่ และสภาพถนน รวมถึงการปรับแต่งที่เน้นบนสนามแข่ง นอกจากนี้ ยังมีหน้าจอ TFT แบบสี ขนาด 5 นิ้ว สวิทช์คิวบ์ที่ปรับตามหลักสรีรศาสตร์ และจอยสติค 5 ทิศทาง ที่ใช้งานง่าย พร้อมระบบเชื่อมต่อ My Triumph Connectivity ที่สามารถใช้งานการนำทางแบบ Turn by Turn รวมถึงการควบคุมโทรศัพท์ และการควบคุมเพลงผ่าน Bluetooth ที่เป็นอุปกรณ์เสริม ซึ่งเชื่อมต่อเข้ากับแอพพลิเคชัน My Triumph ได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย รวมทั้งตัวจับเวลารอบรวมอยู่ในทั้ง 2 รุ่น
ด้านภาพลักษณ์ทั้ง 2 รุ่น แสดงให้เห็นถึง DNA ของการออกแบบในกลุ่มสปอร์ทเนเคดไบค์ ที่ไม่มีใครเทียบได้ ด้วยภาพลักษณ์ และท่วงท่าดุดัน และทรงพลังที่สุดเท่าที่เคยมี พร้อมลาย "765" ที่ได้มาจากการแข่งขัน และกราฟิคแบบสปอร์ท รูปทรงท่อเก็บเสียงแบบใหม่ช่วยเสริมจุดยืนอันดุดัน ตอกย้ำเสียงเครื่องยนต์ 3 สูบ อันเป็นเอกลักษณ์ของ Triumph ได้อย่างยอดเยี่ยม รวมถึงตัวถังน้ำมันขนาด 15 ลิตร ดีไซจ์นใหม่ทั้งหมด มีแผงด้านข้างที่จัดวางอย่างสวยงามเข้ากับแผ่นครอบหม้อน้ำที่คมชัดยิ่งขึ้น เสริมด้วยการตกแต่งไฟหน้าแบบใหม่ที่รวมช่องรับอากาศเข้าไว้ด้วย นอกจากนี้ รุ่น RS ยังมีแผ่นครอบเครื่องด้านล่างท้องเครื่องที่มาพร้อมสีใหม่ มีที่ครอบเบาะนั่งสีเดียวกับตัวรถ รวมถึงเบาะนั่งซ้อนท้ายแบบเปลี่ยนได้ สำหรับรุ่น Moto2 Edition โดดเด่นด้วยตัวถังคาร์บอนไฟเบอร์น้ำหนักเบา ซึ่งรวมถึงบังโคลนหน้า แผงด้านข้าง แผงครอบไฟหน้า และแผ่นครอบเครื่องด้านล่างพร้อมเพิ่มความพิเศษเฉพาะตัวตามแบบรถจักรยานยนต์รุ่นลิมิเทด เอดิชัน โดยแต่ละคันจะมีหมายเลขสลักไว้สุดประณีตบนแผงคอ พร้อมกันนี้ทั้ง 2 รุ่นยังมีอุปกรณ์เสริมของแท้จาก Triumph มากกว่า 50 รายการ ให้สามารถปรับแต่งจักรยานยนต์ได้ตามสไตล์ผู้ขับขี่ ตลอดจนความพิเศษกับการรับประกันคุณภาพ Triumph Warranty 2 ปี แบบไม่จำกัดระยะทาง รวมถึงความคุ้มค่าของช่วงเวลาการเข้ารับบริการเชคระยะที่สูงถึง 10,000 กม. และรับประกัน 2 ปี ไม่จำกัดระยะทาง ตลอดจนฟรีบริการช่วยเหลือฉุกเฉินบนท้องถนนตลอด 24 ชม. (Triumph Roadside Assistance) เป็นระยะเวลา 2 ปี
ทั้งนี้ “Street Triple 765 RS” มี 3 สีโดดเด่นให้เลือก ได้แก่ สี Silver Ice พร้อมกราฟิคสี Baja Orange และสี Storm Grey ต่อด้วยสี Carnival Red พร้อมกราฟิคสี Carbon Black และสี Aluminium Silver รวมถึงสี Cosmic Yellow พร้อมกราฟิคสี Carbon Black และสี Aluminium Silver ราคาจำหน่ายอย่างเป็นทางการ 499,000 บาท และ “Street Triple 765 Moto2 Edition” โดยมี 2 สีให้เลือก ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากการแข่งขันรายการ Moto2 ได้แก่ สี Triumph Racing Yellow และสี Crystal White ซึ่งผลิตขึ้นจำกัดเพียงสีละ 765 คันทั่วโลก ราคาจำหน่ายอย่างเป็นทางการ 599,000 บาท
อย่างไรก็ตาม ภายในงาน บูธ Triumph ยังรวมหลากหลายไฮไลท์ให้ทุกคนได้มาสัมผัสอย่างใกล้ชิด อาทิ การนำรถจักรยานยนต์มาจัดแสดงรวมกว่า 20 คัน ครบทุกเซกเมนท์ และพิเศษสุดๆ กับโปรโมชัน พบข้อเสนอมาก มายให้เป็นเจ้าของรถ Triumph ที่ชื่นชอบได้ง่ายมากยิ่งขึ้น อาทิ ฟรี ! ประกันภัยชั้น 1 พร้อมข้อเสนอทางการเงินสูงสุด 43,000 บาท รับฟรี ! Triumph "Premium Badge" Box Set เมื่อจองรถเฉพาะภายในงาน และออกรถภายในระยะเวลาที่กำหนด รวมถึงรับฟรี ! Triumph Chrome Look Book เมื่อจอง Chrome Collection รุ่นที่ร่วมรายการ 10 คันแรก และออกรถภายในระยะเวลาที่กำหนด พร้อมกันนี้ ยังสามารถชอพพิงคอลเลคชันเสื้อ ผ้าใหม่ล่าสุดที่จัดเต็ม ตลอดจนเพลิดเพลินไปกับบรรยากาศบูธที่ตกแต่งในธีม Triumph Racing ได้ตลอดระยะเวลาการจัดงานทั้ง 12 วัน ชินศักดิ์ กล่าวทิ้งท้าย
เรื่องโดย : นุสรา เงินเจริญ
ภาพโดย : บริษัทผู้ผลิต
คอลัมน์ Online : ธุรกิจ (บก. ออนไลน์)
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/online/445975